เตือนวิกฤติ ‘ธุรกิจรายใหญ่’ ธปท.กังวล ‘แห่คืนหนี้ - ตุนสภาพคล่อง’ ลดความเสี่ยง

ธปท.ห่วงสินเชื่อระบบธนาคาร “ติดลบ” ต่อเนื่องไตรมาสที่ 4 ธุรกิจแห่คืนหนี้ กลุ่มรายได้สูงรายได้เกิน 5 หมื่นบาทขึ้นไประวังการใช้จ่ายมากขึ้น หวัง “ลดหนี้”
KEY
POINTS
- แบงก์ชาติ รับกังวลต่อภาวะสินเชื่อในระบบที่หดตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาสติดต่อกัน จากการที่ภาคธุรกิจเร่งชำระคืนหนี้เพื่อลดความเสี่ยง และรักษาสภาพคล่อง
- พบสัญญาณเตือนในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ วงเงินเกิน 500 ล้านบาท ที่ถูกจัดชั้นเป็นหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษมากขึ้นจากผลประกอบการทรุด
- พบกลุ่มรายได้สูงเกิน 50,000 บาท ลดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตลง
- หวังตุนสภาพคล่อง ลดหนี้ ป้องกันความเสี่ยง ท่ามกลางเศรษฐกิจเปราะบาง
ซึ่งถือว่ากินระยะเวลานาน เหตุจากการคืนหนี้ของภาคธุรกิจที่อยู่ระดับสูง ขณะที่ยังพบว่าครัวเรือนไทย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้สูงเกิน 50,000 บาทขึ้นไป กลับใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น
เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่กำลังเตือนถึง ความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจที่มีสูงขึ้น ที่อาจกระทบต่อการทำธุรกิจและกระทบต่อประชาชนในระยะข้างหน้าได้
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในด้านภาพรวมการปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ พบว่าปรับลดลงต่อเนื่อง หากเทียบกับไตรมาสก่อนๆ
โดยการหดตัวของสินเชื่อชะลอลง หรืออยู่ในภาวะ “ติดลบ”นั้น ถือเป็นการติดลบติดต่อกันเป็น 4 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งเป็นการติดลบเป็นระยะเวลานาน และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในอดีต
- ห่วงสินเชื่อระบบแบงก์ติดลบ 4 ไตรมาสติด
ทั้งนี้ หากดูสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในเครือหดตัวในอัตราที่ลดลง โดยไตรมาส 2 ติดลบต่อเนื่อง ที่ 0.9% จากไตรมาสก่อนที่ติดลบแล้ว 1.3% ซึ่งการหดตัวส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่ออุปโภคบริโภค เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
ซึ่งหากดูสินเชื่อธุรกิจโดยรวม หดตัวอยู่ที่ 0.1% แม้ติดลบน้อยลง หากไตรมาสก่อนที่ติดลบสูงถึง 0.8% แต่การติดลบก็ยังคงมีต่อเนื่อง ส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีสินเชื่อยังคงติดลบต่อเนื่อง และหดตัวในทุกภาคส่วนธุรกิจ
โดยส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจเอสเอ็มอี โดยแบงก์เน้นปล่อยสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดี และมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่เพียงพอ ทำให้ลูกค้าใหม่เผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงสินเชื่อ
ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคภาพรวม ยังคงหดตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกับไตรมาสที่แล้ว โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อยังคงหดตัวต่อเนื่อง แม้จะหดตัวลดลงมาอยู่ที่ติดลบ 9.7%
ซึ่งเป็นผลจากความระมัดระวังในการให้สินเชื่อ แม้เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกจากผู้ค้าหรือผู้ประกอบการรถยนต์ในไตรมาสที่ 2 โดยยอดขายรถยนต์สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสของปีที่แล้ว และเริ่มเห็นสัญญาณการยึดรถที่น้อยลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ส่งผลให้ราคารถมือสองมีศักยภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตหดตัวต่อเนื่องที่ติดลบ 1.9% สาเหตุหลักมาจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต หรือยอด spending ที่ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ถือบัตรที่มีรายได้เกินกว่า 50,000 บาท เช่นเดียวกันสินเชื่อส่วนบุคคลหดตัวเล็กน้อย
ส่วนใหญ่เป็นการหดตัวจากสินเชื่อที่เคยปล่อยไปมากในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ และกลุ่มที่เน้นสินเชื่อสำหรับผู้ที่มีประวัติความเสี่ยงสูง ซึ่งเคยมีการขยายตัวค่อนข้างสูง
- รับสินเชื่อชะลอจากการคืนหนี้-ความเปราะบางสะสม
สำหรับสาเหตุการชะลอตัวของสินเชื่อ หลักๆ มาจากการสะสมของหนี้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 ในปี 2563-2564 ที่จีดีพีปรับลดลงต่อเนื่อง แต่การใช้สินเชื่ออยู่ในระดับสูงไปแล้ว ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อมีน้อยลง
ธปท.คาดว่า แนวโน้มสินเชื่อน่าจะติดลบชะลอตัวต่อเนื่องไปอีกสักระยะหนึ่ง นอกจากนี้ สินเชื่อที่หดตัว ยังมาจากการสะสมความเปราะบางของหนี้ในช่วงวิกฤติ ทำให้การเข้าถึงสินเชื่อทำได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ การเร่งชำระคืนหนี้จำนวนมากก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดสินเชื่อโดยรวมยังคงชะลอตัว เพื่อรักษาสภาพคล่อง ในขณะที่ธุรกิจ และประชาชนไม่มีรายได้ในปัจจุบัน
“ระยะข้างหน้าสินเชื่อระบบธนาคารคาดว่ายังติดลบต่อเนื่องไปอีกสักระยะ ซึ่งอาจเป็นช่วงของการทยอยปรับลดลงของหนี้ที่เคยสะสมไว้ในอดีต ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ ธปท.ห่วง โดยเฉพาะที่ห่วงมากที่สุดคือ ธุรกิจเอสเอ็มอี เนื่องจากสินเชื่อยังคงติดลบต่อเนื่อง และหนี้เสียยังคงเพิ่มขึ้น แม้จะในอัตราที่ลดลง แต่หากมองไปข้างหน้ายังมีความท้าทายจากสถานการณ์การแข่งขันจากการนำเข้าสินค้า ที่อาจกระทบต่อซับพลายเชน หรือกลุ่มส่งออก ที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐ”
- กลุ่มรายได้สูงเกิน 5 หมื่นบาท ระวัง-ลดใช้จ่าย
ทั้งนี้ พบว่าในส่วนการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ลดลง ในกลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 50,000 บาท ขึ้นไปนั้น เป็นผลมาจากการความระมัดระวังในการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ภายใต้เศรษฐกิจเปราะบางสูง แม้ปัจจุบัน ธปท. ที่ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นของหนี้ค้างชำระในกลุ่ม SM หรือหนี้เสียของกลุ่มนี้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
“การคืนหนี้ส่วนหนึ่งก็สะท้อนว่า ภาคธุรกิจเอง หรือกลุ่มรายได้ระดับสูง มีการระมัดระวังมากขึ้น ไม่ใช่แค่แบงก์ที่ระมัดระวัง แต่ธุรกิจเองก็ระมัดระวังตัวเองมากเช่นกัน ซึ่งในอดีตการที่สินเชื่อติดลบต่อเนื่องเป็น 4 ไตรมาส ก็เคยเกิดขึ้น ดังนั้น วันนี้ธุรกิจพยายามทำตัวเองให้เบาขึ้น ทำให้หนี้ลดลง โดยการลด D/E ตัวเองลง เพราะหากหนี้สินต่อทุนสูงหากเกิดอะไรขึ้น ทุนที่เหลืออาจจ่ายหนี้ไม่พอ ทำให้ธุรกิจเริ่มลดหนี้ลงมา”
- “รายใหญ่” ถูกจัดชั้นกลุ่มสินเชื่อด้อยคุณภาพสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากดูหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ของระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 2.91% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.90% หลักๆ มาจากสินเชื่อธุรกิจ
โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีที่เคยได้รับความช่วยเหลือหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดธุรกิจไม่ฟื้นตัว
แต่ในทางกลับกันพบว่าปริมาณหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ปรับลดลงในทุกประเภทสินเชื่อทั้งสินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และเช่าซื้อ
เช่นเดียวกันกลุ่มค้างชำระหนี้แต่ไม่เกิน 90 วัน หรือกลุ่ม SM ที่พบว่าภาพรวมปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ตสินเชื่อยกเว้นสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีวงเงินสินเชื่อเกิน 500 ล้านบาท ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม SM มากขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการจัดชั้นเชิงคุณภาพของเจ้าหนี้เอง จากผลประกอบการของลูกหนี้กลุ่มนี้ในรอบปี 2567 ที่ประกาศออกมาอาจด้อยลง ไม่ได้เกิดจากการค้างชำระหนี้
ทั้งนี้ ในกลุ่ม SM ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ปรับลดลง ส่วนใหญ่มาจากการที่ลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แล้วสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
“ต้องยอมรับว่าตัวเลขหนี้เสียกลุ่มอุปโภคบริโภคดีขึ้น แต่ตัวธุรกิจปรับแย่ลง ส่วนธุรกิจขนาดใหญ่ ที่เป็นการปรับไม่ได้เกิดจากการค้างชำระหนี้ แต่เป็นการจัดชั้นเชิงคุณภาพ เรายังไม่เห็นกลุ่มนี้ค้างชำระหนี้เพิ่มขึ้นในกลุ่ม SM ถามว่าเราห่วงมากขึ้นมั้ย ห่วง โดยเฉพาะมาตรการภาษีทรัมป์ส่งผลกระทบต่อลูกหนี้ธุรกิจก่อน โดยเฉพาะกลุ่มส่งออก และซัพพลายเชน และคาดว่าแนวโน้มหนี้เสียยังคงเพิ่มขึ้นแต่ยังบริหารจัดการได้”
สำหรับผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวม ผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน หลักๆ มาจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ธนาคารได้รับจากบริษัทลูก
ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ ยและปริมาณสินเชื่อที่ลดลง รวมถึงผลจากมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่มีการลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ด้วย ส่งผลให้ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin หรือ NIM) ปรับลดลงจาก 2.8% มาอยู่ที่ 2.72% การลดลงของ NIM เป็นไปตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง
อย่างไรก็ตาม การปรับลดลงของ NIM ในแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพอร์ตสินเชื่อของแต่ละธนาคาร
เช่น พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อที่ดอกเบี้ยมักจะคงที่ตั้งแต่แรก อาจไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับพอร์ตที่อิงกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัวจำนวนมาก และยอมรับว่ามาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” มีส่วนทำให้ NIM ลดลงเนื่องจากธนาคารต้องลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญา
ในขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากผลประกอบการที่ดีขึ้นซึ่งเกิดจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาลเป็นสำคัญ
- หวังแบงก์ลดดอกเบี้ยช่วยลดต้นทุนธุรกิจ
สำหรับ การลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ผ่านมา ธปท. เชื่อว่าจะช่วยกลุ่มลูกหนี้ที่อิงกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งประมาณ 70% ของหนี้เอสเอ็มอีใช้ดอกเบี้ยลอยตัว ดังนั้นการลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระการชำระดอกเบี้ยของหนี้เดิมลงได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับการปล่อยกู้ใหม่ ธปท. มองว่าปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อมีความสำคัญกว่าอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากธนาคารมีความระมัดระวังมากขึ้นจากการที่ความเสี่ยงด้านเครดิตสูงขึ้น ซึ่งสะท้อนจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสำรอง
ดังนั้น ส่วนนี้ธปท.อยู่ระหว่างหารืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงการคลังและภาคเอกชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่อาจจำเป็นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มลูกหนี้นอนแบงก์ และลูกหนี้แบงก์รัฐ ที่มีจำนวนมาก และยังคงเป็นกลุ่มที่น่าห่วง
- ยอดช่วยเหลือลูกหนี้สะสมต่อเนื่อง 2.54 ล้านบัญชี
อย่างไรก็ตามหากดูมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ลูกหนี้ภายใต้การช่วยเหลือยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ภายใต้หลักเกณฑ์ Responsible Lending (RL) ยังคงสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยยอดรวมสะสมครึ่งปีแรก จากลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ และธนาคารเฉพาะกิจ รวมกันอยู่ที่ 2.54 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้ประมาณ 1.50 ล้านล้านบาท ที่ยังอยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือ โดยส่วนใหญ่เป็นบัญชีของลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล
สำหรับความคืบหน้าโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 2 ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนก.ค. พบว่า มีลูกหนี้เข้าโครงการเพิ่มขึ้นเป็น 3.7 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท โดยมีลูกหนี้ลงทะเบียนทั้งหมด 1.7 ล้านคน คิดเป็นจำนวนบัญชี 2.2 ล้านบัญชี
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบคุณสมบัติโดยธนาคารและสถาบันการเงิน พบว่ามีลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้แล้ว 740,000 ราย หรือ 20% ของผู้มีคุณสมบัติ โดยคิดเป็นยอดหนี้ 530,000 ล้านบาท หรือ 4.4% ของยอดหนี้รวมผู้มีคุณสมบัติ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







