‘BAM’ ปรับทัพรับมือโลกยุคใหม่ สลัดภาพ ’ปู่โสมเฝ้าทรัพย์’ ปักหมุดสู่ ’โฮลดิ้งคอมพานี’

‘BAM’ ปรับทัพรับมือโลกยุคใหม่  สลัดภาพ ’ปู่โสมเฝ้าทรัพย์’  ปักหมุดสู่ ’โฮลดิ้งคอมพานี’

‘BAM ’ปรับทัพรับมือโลกยุคใหม่ สลัดภาพ ‘ปู่โสมเฝ้าทรัพย์’ เบนเข็มธุรกิจสู่ ‘โฮลดิ้งคอมพานี’ เดิมเกม “บริหารหนี้เสียเชิงรุก” ลดถือครอง “เอ็นพีเอ” เหลือ 4 ปี​

KEY

POINTS

  • BAM กำลังปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อสลัดภาพ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" โดยเปลี่ยนจากการถือครองทรัพย์สินระยะยาว มาเป็นการบริหารจัดการเชิงรุก
  • ตั้งเป้าลดระยะเวลาการถือครองทรัพย์จาก 8 ปี เหลือเพียง 4 ปี เพื่อเร่งระบายสินทรัพย์เก่าและรองรับหนี้เสียใหม่
  • ตั้งเป้าหมายสูงสุดในการปรับโครงสร้างองค์กรสู่การเป็น "โฮลดิ้งคอมพานี" (ฃเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ และทำหน้าที่เป็นผู้จัดสรรเงินทุนให้บริษัทลูกดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว
  • เอื้อ BAM หลุดพ้นจากข้อจำกัดของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) แบบดั้งเดิม

ธุรกิจบริหารสินทรัพย์” หรือ AMC กำลังเผชิญความท้าทายมากยิ่งขึ้น ทั้งจากการ “บริหารทรัพย์เก่า” ที่ค้างมหาศาลอยู่ในระบบ ขณะเดียวกันก็กำลังเผชิญกับมรสุม “หนี้เสียใหม่ๆ” ทะลักเข้ามาสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หากไม่สามารถบริหารจัดการทรัพย์สินได้ดี หรือบริหารได้ล่าช้า เหล่านี้ก็ล้วนอาจจะทำให้เกิด “ความเสี่ยง” ต่อธุรกิจในระยะข้างหน้า

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายหลักที่ BAM กำลังเผชิญอยู่

ในขณะนี้นั่นคือ ปริมาณทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก สะท้อนภาพปัจจุบัน BAM มีทรัพย์สินสะสมอยู่กว่า 20,000 ชิ้น และคาดว่าสิ้นปี 2568 อาจเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ชิ้น ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ใหญ่กว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งของประเทศอีก  

‘BAM’ ปรับทัพรับมือโลกยุคใหม่  สลัดภาพ ’ปู่โสมเฝ้าทรัพย์’  ปักหมุดสู่ ’โฮลดิ้งคอมพานี’ ดังนั้น หากไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อเร่งระบายทรัพย์สินเหล่านี้ และยังยึดโมเดลธุรกิจแบบเดิมๆ โดยอาศัยเฉพาะการระบายจากบริษัทเหมือนเช่นเดิม บ่งชี้ในแต่ละปีระบายทรัพย์ได้เพียงปีละ 300 ชิ้นเท่านั้น

  • หาก BAM ไม่ทำอะไรอนาคตเราคงกลายเป็น “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ที่เป็นเพียงแค่องค์กรที่คอยเฝ้าทรัพย์สินไว้เฉยๆ โดยไม่ได้สร้างประโยชน์จากทรัพย์ที่มีอยู่ได้มากนัก

ภาพของสถานการณ์วันนี้ ที่เป็นเรื่องเร่งด่วน คือการรับมือกับ “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” หรือ “หนี้เสีย” ที่กำลังถาโถม หรือหลั่งไหลเข้ามาในระบบอีกครั้ง สถานการณ์นี้เหมือนกับ “น้ำในตุ่ม” ที่กำลังเต็มตุ่ม จนไม่สามารถรับหนี้เสียใหม่จากระบบได้เข้ามาได้อีก

ด้วยเหตุนี้ BAM จึงจำเป็นต้องเร่ง “ลดน้ำในตุ่ม” หรือเร่งระบายหนี้เก่าที่ค้างอยู่ เพื่อให้มีพื้นที่ในการรับหนี้เสียใหม่ที่จะเข้ามาข้างหน้า ดังนั้นเป้าหมายคือ การลดระยะเวลาการ “กักเก็บทรัพย์สินเก่า” ที่เคยยาวนานถึง 8 ปี ให้เหลือเพียง 4 ปี

ไม่เพียงเท่านั้น สถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยเผชิญอยู่ จากภาวะที่ชะลอตัวและอยู่ในช่วงขาลง เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในรูปแบบ K-Shape นั่นหมายความว่า มีทั้งคนที่อยู่ใน “K” ขาล่าง และคนที่อยู่ใน “K” ขาบน ธุรกิจที่เป็นขาขึ้น

เหล่านี้คือ ความท้าทายของ BAM และสถาบันการเงินอื่นๆด้วย ที่ต้องหา “K”ขาบน ให้เจอ เพื่อไม่ให้ลูกค้าของ BAM ซบเซาตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม

โจทย์ในการค้นหาและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้า “K” ขาบน  ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญสำหรับทุก AMC สถาบันการเงิน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือกลุ่มคนทำงาน อายุ 42-45 ปี ที่มีเงินเดือน 150,000 บาท

แต่ต้องการบ้านในละแวกเดิมที่เติบโตมา และมีความพร้อมที่จะเป็นหนี้ 10 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือธนาคารต้องการปล่อยกู้แต่ไม่มีสินค้าในราคา 10 ล้านบาท เนื่องจากบ้านสร้างใหม่มีราคาสูงถึง 15-19 ล้านบาท

ในจุดนี้ BAM มีข้อได้เปรียบอย่างมาก เนื่องจากมีทรัพย์สินอยู่แล้วที่สามารถนำมาปรับปรุงให้สวยงามและขายได้ในราคาที่เหมาะสม เช่น บ้านขนาด 120 ตารางวา ราคา 9 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความงดงามที่ BAM พยายามจะสร้างขึ้นในวันนี้

และอีกหนึ่งเป้าหมายของ BAM คือการสลัดภาพ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” สู่การบริหารจัดการเชิงรุก โดยตั้งเป้าเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ BAM จากองค์กรที่ “เฝ้าทรัพย์” ให้หมดไป โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 10 เดือน หลังจากนี้ ในการเปลี่ยนแปลง

ในอนาคต BAM จะไม่เพียงแค่ซื้อทรัพย์สินที่ธนาคารนำมาเทขายตามมีตามเกิดเท่านั้น แต่ทีมงานจะทำหน้าที่ “เฝ้าระวังทรัพย์” ซึ่งหมายถึงการศึกษาความต้องการของลูกค้า หรือ “เจ้าสาว” ว่าต้องการทรัพย์สินแบบไหน หาก “เจ้าสาว” มีความต้องการแบบใด BAM ก็จะไปซื้อทรัพย์สินที่สามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้ เหล่านี้เป็นมุมมองที่ BAM ไม่เคยทำมาก่อน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังต้องให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ต้นน้ำคือ สถาบันการเงิน, AMC และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์” เมื่อทั้งสามฝ่ายมองเห็นภาพเดียวกัน อัตราการไหลเวียนของน้ำ ที่เป็นทรัพย์สิน จะไม่ถูกปิดกั้นและจะไหลลื่นมากขึ้น

หากถามถึง เป้าหมายสูงสุดในการขับเคลื่อนองค์กร “BAM” ขณะนี้ คือต้องการให้ BAM กลายเป็น “ญาณแม่” ซึ่งหมายถึงเป็น Holding Company นี่คือเป้าหมายที่คณะกรรมการและพนักงานทุกคนให้ความสำคัญ

ประโยชน์ของการเป็น Holding Company จะทำให้มีความสามารถในการแต่งงานกับผู้หญิงหลายๆ คน ในที่นี้หมายถึง การสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจได้หลากหลาย โดยไม่ถือว่าตนเองเป็นคู่แข่ง ทำให้ความสัมพันธ์จะไม่หมิ่นเหม่เหมือนในอดีตที่อาจเป็นทั้งคู่ค้าและคู่แข่ง

ในฐานะ Holding Company นั้น BAM จะเป็นเหมือน “คนแจกไพ่” หรือ “ผู้จัดสรรเงินทุน” โดยบริษัทลูกแต่ละแห่งจะสามารถใช้ชื่อ BAM ในการกู้เงินมาบริหารจัดการได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและงดงาม

เหล่านี้จะผลักดันบริษัทไปสู่ “BAM X” จากการเป็น Holding Company ทำให้ BAM สามารถจะหลุดพ้นจากพันธนาการของกรอบกฎหมายภายใต้ AMC ในปัจจุบันได้ 

และบทบาทของบริษัทลูกในอนาคต จะสามารถทำหน้าที่ flip and flip หรือซื้อมาขายไป ทรัพย์สินของตนเองได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถคัดสรรทรัพย์สินให้กับพันธมิตรรายอื่นๆได้และรับค่านายหน้าในรูปแบบ brokerage approach ซึ่งเป็นแนวทางที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยไม่ต้องไปจัดการทรัพย์สินของผู้อื่น แต่จัดการทรัพย์สินของ BAM เอง

การจัดองค์กรครั้งใหม่ของ BAM เพื่อไปสู่ Holding Company นั้นเขาเชื่อว่าอาจต้องใช้เวลา 2-3 ปี หลังจากนี้ เพราะต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของคนหรือพนักงานด้วย

ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าห่วงที่สุด เพราะหากบุคลากรทุกคนเป็นเหมือน “ทหารพราน” ที่พร้อมจะวิ่ง แต่อาจใช้เวลาเพียง 1 ปี

แต่ในปัจจุบัน บุคลากรบางคนยังคงเป็นเพียง “ทหารที่นั่งพิมพ์งาน” กองทัพยังไม่พร้อม ดังนั้นกว่าจะมุ่งไปสู่เส้นทางนี้ได้อาจต้องใช้ระยะเวลาเตรียมพร้อมในการเปลี่ยนให้กรมพลาธิการ กลายไปเป็น Navy Seal ที่มีความพร้อมและความสามารถที่มากขึ้น

สุดท้ายแล้ว “ดร.รักษ์” หวังว่าสิ่งที่จะเห็นหลังจากนี้คือ การนำพา BAM เข้าสู่ยุคใหม่ของการเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นทั้งการเติบโตทางธุรกิจผ่านโมเดลใหม่ๆ ผ่านการยกระดับศักยภาพภายใน และการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดยเฉพาะการช่วยให้ผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มอาชีพอิสระสามารถเข้าถึงการเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้