ผวาธุรกิจแย่ลง ‘ยิ่งเล็กยิ่งเสี่ยงสูง‘ สัญญาณเตือนลามสู่ ‘รายกลาง-รายใหญ่‘

ผวาธุรกิจแย่ลง ‘ยิ่งเล็กยิ่งเสี่ยงสูง‘  สัญญาณเตือนลามสู่  ‘รายกลาง-รายใหญ่‘

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” เปิดข้อมูลจากเครดิตบูโร พบธุรกิจเสี่ยงขึ้น ยิ่งเล็กยิ่งเสี่ยงสูง ค้างชำระหนี้พุ่ง ขณะที่เริ่มเห็นลามสู่ธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่เพิ่มขึ้น

KEY

POINTS

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ ธุรกิจขนาดเล็กมีความเสี่ยงเป็นหนี้เสียสูงที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม Super Micro ที่มีสัดส่วนหนี้เสียสูงถึง 14.81% เทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีเพียง 1.37%
  • ปัญหาการค้างชำระหนี้ และคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลง เริ่มลุกลามจากธุรกิจขนาดเล็กไปยังธุรกิจขนาดกลาง และขนาดใหญ่ในหลายภาคส่วน เช่น โรงแรม ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์
  • คุณภาพหนี้โดยรวมของภาคธุรกิจถดถอยลง โดยกลุ่มลูกหนี้ที่ชำระหนี้ได้ตามปกติมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่กลุ่มหนี้ที่เริ่มมีปัญหา และหนี้เสียเรื้อรังมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น
  • แม้ตัวเลขหนี้เสียของธุรกิจ SME จะยังไม่ขยับขึ้นมาก แต่เป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน

ล่าสุด “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” เปิดข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจ จากฐานข้อมูลของ บริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ “เครดิตบูโร” ในไตรมาสแรก ปี 2568 โดยมีหลายปัจจัยที่น่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะการฉายภาพถึง “คุณภาพหนี้” ของธุรกิจเอสเอ็มอีที่แย่ลง กลุ่มที่เคยอยู่ในกลุ่ม “สีเขียว” หรือ “ผ่อนชำระหนี้ปกติ” กลุ่มเหล่านี้กลับปรับลดลง 

ขณะที่เริ่มเห็นคุณภาพหนี้ เห็นการค้างชำระหนี้ลามจากธุรกิจเอสเอ็มอีขนาดเล็กไปสู่ “ธุรกิจรายใหญ่” มากขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นภาพที่น่าห่วงอย่างมากสำหรับธุรกิจในระยะข้างหน้า

ผวาธุรกิจแย่ลง ‘ยิ่งเล็กยิ่งเสี่ยงสูง‘  สัญญาณเตือนลามสู่  ‘รายกลาง-รายใหญ่‘ ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดภาพรวมหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง ที่เปิดเผยสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยรวม “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” หรือ “เอ็นพีแอล” ขยับสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

หากดูถึงไส้เฉพาะใน “ภาคธุรกิจ” จากข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่า แม้ทิศทางคุณภาพหนี้ ทั้งปัญหาหนี้เสีย และการค้างชำระหนี้ (SM) ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน แม้จะทรงตัว หากเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา แต่หากนับตั้งแต่ 1 ปี หลังเปิดประเทศจากโควิด-19 ปัญหาหนี้เสีย และยอดการค้างชำระหนี้กลับเพิ่มสูงขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น พบว่า “ธุรกิจยิ่งมีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหา” หนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น โดยเฉพาะกลุ่ม Super Micro ที่มียอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท กลุ่มนี้ “หนี้เสีย” มีสัดส่วนสูงมากถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ไม่ต่างกับกลุ่ม Micro ที่มียอดคงค้างสินเชื่อมากกว่า 5 ล้านแต่ไม่เกิน 20 ล้านบาท ที่พบว่า หนี้เสียสูงถึง 12.11%

ไม่เว้นแม้แต่ ธุรกิจขนาดเล็ก ที่มียอดคงค้างมากกว่า 20 ล้านบาทแต่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท หนี้เสียยังสูงถึง 9.75% ในขณะที่กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ จะอยู่ที่ 6.51% และ 1.37%

สิ่งที่น่าสังเกตคือ แม้ว่าภาพรวมหนี้ค้างชำระ หรือในกลุ่มที่เป็นหนี้เสียแล้ว แม้ดูเหมือน “ทรงตัว” แต่ในทางปฏิบัติแล้วกลับไม่นิ่ง และกลับพบว่า กลุ่ม SM ที่ค้างชำระตั้งแต่ 30 วันแต่ไม่เกิน 90 วัน มีสัดส่วนที่ “อ้วนขึ้น” หรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

ทั้งนี้ หมายความว่า หนี้เริ่มไหลจากการค้างชำระไม่นาน มาค้างอยู่ในช่วง 31-90 วัน เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจโดยรวมยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ และยังคงอยู่ในภาวะรอคอยการฟื้นตัว

“วันนี้ภาพที่เห็นชัดเจน คือ แนวโน้มที่ชัดเจนว่า ขนาดธุรกิจที่ยิ่งเล็ก ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียมาก ดูจากหนี้เสียในกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี ที่หนี้เสียสูงถึง 15% ขณะที่รายใหญ่หนี้เสียอยู่เพียง 1.4% เท่านั้น”

แต่ตัวที่ทำให้หนี้เสียโดยรวมของธุรกิจเอสเอ็มอีไม่ได้ขยับมากนัก โดยปัจจุบันอยู่ที่ 5.03% แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ กลับพบว่า ยอดการ “ปรับโครงสร้างหนี้” ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นชัดเจน เพื่อไม่ทำให้หนี้เสียของธุรกิจไหลลึกไปกว่านี้

กฤษฎิ์ แก้วหิรัญ” นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด พาเจาะลึกถึงคุณภาพสินเชื่อของภาคธุรกิจคุณภาพแย่ลง โดยเฉพาะในกลุ่ม SM ตั้งแต่ไตรมาส 4 จนถึงไตรมาสแรกปีนี้ ที่ธุรกิจส่วนใหญ่มีสัดส่วนสินเชื่อที่แย่ลง บ่งชี้ว่าคุณภาพโดยรวมไม่ได้ปรับดีขึ้น เหมือนภาพเศรษฐกิจที่เห็น

ดังนั้น หลายภาคธุรกิจ “น่าห่วงมากขึ้น” ภาคการผลิต เห็น SM เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่น่ากังวล สัดส่วน NPL ค่อนข้างคงที่

ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็ก จนไปถึงธุรกิจที่เป็นระดับ Super Micro มีสัดส่วนสินเชื่อที่ผิดนัดชำระเกิน 30 วันค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ และคุณภาพสินเชื่อแย่ลง สวนทางกับธุรกิจขนาดใหญ่ กลับมีคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น ซึ่งอาจได้รับอานิสงส์จากการส่งออกที่ฟื้นตัวดี

ภาคธุรกิจโรงแรมน่าห่วงขึ้น การค้างชำระหรือ SM “กระโดดขึ้น” เห็นได้ชัด สัดส่วนสินเชื่อผิดนัดชำระเริ่มกระโดดหรือลามไปที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยสัดส่วนหนี้ผิดนัดชำระกระจุกที่รายใหญ่ถึง 40% และเพิ่มขึ้นสูงมากเป็นสัญญาณต้องจับตาและดูแลเป็นพิเศษ

ธุรกิจค้าปลีก แม้ที่ผ่านมาจะมีข่าวบวกจากการบริโภคในประเทศยังดี และรับอานิสงส์จากมาตรการภาครัฐ เช่น Digital Wallet แต่กลุ่มนี้ ทั้ง SM และหนี้เสียกลับเพิ่มขึ้นสูงทั้งคู่ โดยเฉพาะธุรกิจกลุ่มเล็กได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง และเริ่มเห็นการลามไปกลุ่มขนาดกลาง โดยมีเพียงรายใหญ่ที่คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้างเป็นธุรกิจน่าเห็นใจที่สุดเพราะซบเซาต่อเนื่องมานาน และได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนสูง และกำลังซื้อลดลง ซึ่งส่งผ่านไปสู่การค้างชำระหนี้ ทั้งกลุ่ม SM เพิ่มขึ้น ขณะที่เอ็นพีแอลค่อนข้างทรงตัวแต่ยังอยู่ระดับสูง นอกจากนี้พบการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการผิดนัดชำระทุกกลุ่ม ตั้งแต่ Super Micro จนถึงขนาดใหญ่

“กาญจนา โชคไพศาลศิลป์” ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดให้เห็นข้อมูลของพฤติกรรมการชำระหนี้ลูกหนี้จากข้อมูลเครดิตบูโร โดยลูกหนี้มี 4 กลุ่มหลัก คือ 

1.กลุ่ม Good ชำระหนี้ปกติ ไม่เคยมีปัญหาการชำระหนี้เลยในอดีต 

2.กลุ่ม Newly Impaired ที่เริ่มมีปัญหา หรือจัดอยู่ในกลุ่มสีเหลือง คือ ลูกหนี้ที่เคยจ่ายดีมาตลอด แต่เพิ่งเริ่มผิดนัดชำระช่วงไตรมาสล่าสุด

3.กลุ่ม On-Off ดีสลับแย่ หรือกลุ่มสีส้ม คือ กลุ่มลูกหนี้ที่พยายามบริหารสภาพคล่อง สลับการจ่ายได้บ้าง จ่ายไม่ได้บ้าง ที่ถือเป็นกลุ่มน่าห่วงเพราะอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน และความสามารถชำระหนี้อาจด้อยลงในอนาคต หรืออาจไหลไปกลุ่มปัญหาเรื้อรัง

4.กลุ่ม Distressed กลุ่มที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง กลุ่มสีแดง ที่เป็นลูกหนี้ที่มีปัญหามาโดยตลอด จ่ายหนี้ไม่ได้ และไม่สามารถจ่ายได้ในปัจจุบัน กลุ่มนี้แสดงถึงระดับความไม่สามารถชำระหนี้ที่หนักหนาสาหัสสุด

ภาพที่กำลังเห็นคือ กลุ่มที่เป็นกลุ่ม Good ที่ชำระหนี้ดีมาโดยตลอดกำลังลดลง แม้ว่าจำนวนบัญชีลูกหนี้นิติบุคคลส่วนใหญ่ เกือบ 95% ยังคงอยู่ในกลุ่ม แต่เริ่มเห็นพฤติกรรม ในการชำระหนี้ที่ถดถอยลง

ทั้งนี้หากดูกลุ่ม “ On-Off” มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นผลจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทำให้ภาคธุรกิจบริหารสภาพคล่อง ยิ่งกว่านั้นกลุ่ม “Distressed” มีปัญหาหนี้เรื้อรังเพิ่มขึ้นตลอด 1 ปีที่ผ่านมา หมายถึงมีลูกหนี้มากขึ้นที่อยู่ภาวะชำระหนี้ไม่ได้

หรือกลุ่ม Newly Impaired ที่เหมือนจะลดลง แต่หากเศรษฐกิจยิ่งไม่แน่นอน กลุ่มนี้อาจกลายเป็นกลุ่ม On-Off ดีสลับแย่ หรือย้ายไปอยู่กลุ่มหนี้เรื้อรังได้

“ข้อมูลวันนี้ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่สีเขียวของคนที่ชำระหนี้มาตลอดทยอยลดลง แต่พื้นที่สีแดง สีส้ม สีเหลืองกลับยิ่งกินพื้นที่กว้างขึ้น แม้ยังไม่วิกฤติเท่าโควิด แต่ไม่ควรนิ่งนอนใจเพราะอาจเห็นการขยายวงกว้างของปัญหาการชำระหนี้ให้เห็นมากขึ้น”

ไม่เพียงเท่านั้น หากดูพฤติกรรมการชำระหนี้แต่ละกลุ่ม พบว่า ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก ไมโคร และซูเปอร์ไมโคร ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงมาก โดยเฉพาะจำนวนผู้ประกอบการรายเล็ก และไมโครที่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ

หากถามว่าโอกาสที่กลุ่มเหล่านี้น่าห่วงแค่ไหน พบว่า ธรรมชาติของการไหลของหนี้ ลูกหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ เช่น1-2 เดือนมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวสูง แต่กลุ่มที่ค้างหนี้ 31-60 วัน จากข้อมูลไตรมาส 4 ปีก่อนที่มี 29,000 บัญชี กลุ่มนี้มีโอกาสไหลเป็นหนี้เสีย 11.8% แต่ 35% มีโอกาสฟื้นเป็นหนี้ปกติ หากได้รับการช่วยเหลือหรือบริหารสภาพคล่องได้

ดังนั้น หากช่วยเหลือเร็วทันท่วงทีสำหรับหนี้ที่เพิ่งเสียใหม่ โอกาสประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูหนี้กลุ่มนี้สูงมาก

กลุ่มที่ห่วงคือ กลุ่มที่กลายเป็นหนี้เสียไปแล้ว เป็นกลุ่มที่มีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้ยากมาก ล่าสุดไตรมาสแรกที่ผ่านมา กลุ่มนี้มีอยู่ราว 76,000 บัญชี แต่หลังผ่านไป 1 ปี น้อยกว่า 10% เท่านั้นที่ฟื้นตัวกลับมาเป็นหนี้ปกติ แต่เกือบ 88% ยังคงอยู่ในสถานะเป็น “หนี้เสีย” เหมือนคนจมน้ำ ยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ โอกาสที่จะฟื้นตัวกลับมาได้ก็น้อยลง

  • ข้อเสนองัดมาตรการ ‘เชิงรุก’ อุ้มลูกหนี้ก่อนไหลเป็น ‘หนี้เสีย’

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัญหาหนี้ของภาคธุรกิจที่ยังเป็นปัญหาต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาคุณภาพหนี้ที่ถดถอย กลุ่มลูกหนี้ดีมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง เหล่านี้เป็นภาพที่ต้องให้ความสำคัญอย่างมาก

ดังนั้น ภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดวางมาตรการดูแลหนี้ให้เหมาะสมกับลักษณะการชำระหนี้ของแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยอาจเพิ่มนโยบายสนับสนุนการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราวให้ลูกค้าปกติที่ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้ และเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจตนตั้งแต่เนิ่นๆ

รวมถึงอาจเตรียมทำโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ ถือเป็นมาตรการเชิงรุกก่อนที่ลูกหนี้จะกลายเป็นเอ็นพีแอล

ยิ่งกว่านั้น ควรมีมาตรการช่วยเหลือสำหรับลูกหนี้กลายเป็นเอ็นพีแอลแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ ส่งเสริมกระบวนการนอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น ตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยทางการสามารถช่วยสนับสนุนผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้ อาทิ ค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้าง และที่ดิน เป็นต้น

นอกจากนี้ สำหรับลูกหนี้มีวันค้างชำระนานขึ้น โอกาสจะตกชั้นลึกลงย่อมมีมากกว่าการฟื้นคืนชีพมาเป็นหนี้ดี ดังนั้น หากกระบวนการทางกฎหมายมีระยะเวลาพิจารณาคดีทางกฎหมายที่เร็วขึ้น ก็น่าจะช่วยให้ลูกหนี้ และเจ้าหนี้เห็นความชัดเจนเร็วขึ้นลูกหนี้จะได้เริ่มธุรกิจใหม่เร็วขึ้นด้วย

รวมถึงควรเพิ่มทางเลือกให้ลูกหนี้ผ่อนสินทรัพย์รอการขายของตนเองได้เป็นลำดับแรกๆ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้กับลูกหนี้ที่ฟื้นฟูตัวเองได้ไว สามารถกลับมาเป็นเจ้าของทรัพย์เดิมได้ด้วย

แต่สุดท้ายแล้วเหล่านี้เป็นเพียงการฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น การแก้วังวนของปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจที่ถาวรขึ้น ต้องอาศัยเงื่อนไขเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้ออำนวย เพื่อช่วยให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ มีความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว จึงจะเป็นการจัดการอย่างยั่งยืนแท้จริง

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์