รถใหม่แข่งราคาฉุดรถมือสองวูบ EV เข้าตลาดน้อย 'ราคาไม่เสถียร’

ค่ายรถ ชี้ตลาดมือสองอีวีประเมินยาก รถเข้าน้อย โครงสร้างราคาไม่เสถียร เต็นท์รถ ระบุเกมราคารถใหม่ กดต่ำหนัก สหการประมูล เผยราคารถยึดเข้าลานประมูลยังทรงตัวระดับสูง
KEY
POINTS
- การแข่งขันด้านราคาของรถยนต์ใหม่ โดยเฉพาะรถ EV เป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ราคารถยนต์มือสองตกลงอย่างรุนแรง
- ตลาดรถ EV มือสองยังมีขนาดเล็ก และราคาไม่เสถียร เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และมีรถเข้าสู่ตลาดในปริมาณน้อย
- เจ้าของรถมีแนวโน้มใช้งานรถนานขึ้นเป็น 6-8 ปี จากเดิม 4-5 ปี ประกอบกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ทำให้รถยนต์มือสองคุณภาพดี และรถยึดเข้าสู่ตลาดน้อยลง
- คาดว่าตลาดรถ EV มือสองจะเริ่มมีทิศทางที่ชัดเจน และราคาที่น่าเชื่อถือมากขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อเทคโนโลยีนิ่งขึ้น และมีรถเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดูวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี ยังประเมินทิศทางตลาดได้ยาก เนื่องจากยังมีรถเข้าสู่ตลาดในปริมาณน้อย ส่วนหนึ่งมาจาก อีวี ยังเป็นของใหม่ในไทย อายุในการทำตลาดแมสไม่มากนัก ผนวกกับสถานการณ์รถมือสองโดยรวมในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ไม่ดีนัก ทำให้เจ้าของรถยังไม่ต้องการขายรถออกไป
"มือสองอีวีน่าจะต้องอีกสัก 2 ปี ถึงจะเห็นทิศทางที่ชัดเจน และการประเมินราคาจะน่าเชื่อถือ"
สอดคล้องกับผู้บริหาร บีวายดี ที่ระบุว่า ภาพที่ชัดเจนของตลาดอีวีมือสอง ยังต้องรออีกนาน เนื่องจากปริมาณรถเข้าสู่ตลาดน้อย ทำให้ยังมีโครงสร้างราคาที่ไม่เสถียร
การที่รถเข้าสู่ตลาดไม่มากนัก เป็นไปตามกลไกการตลาดทั่วไป เนื่องจาก อีวี เพิ่งทำตลาดในตลาดแมสจริงๆ ในปี 2565 และมีตลาดที่ชัดเจนในปี 2566 ในขณะที่ลักษณะการใช้งานของคนไทยส่วนใหญ่ ใช้รถประมาณ 4-8 ปี จึงทำให้อีวีส่วนใหญ่ยังไม่ถึงรอบที่จะเข้าตลาดมือสอง แต่จะเริ่มเห็นได้เพิ่มขึ้นปี 2569
รอเทคโนโลยีนิ่ง ราคาเสถียร
ทั้งนี้การที่เจ้าของอีวีจะใช้รถในระยะเวลาดังกล่าว ส่วนหนึ่งมาจากผู้จำหน่ายที่เปิดเงื่อนไขการดูแลรักษารถระยะยาว เช่น บีวายดี ที่เปิดเงื่อนไขรับประกันคุณภาพ 8 ปี หรือ 1.6 แสนกิโลเมตร เป็นรายแรก ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจที่จะใช้รถในระยะยาว
“นอกจากนี้ยังมีผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี หลายคนไม่อยากมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนรถคันใหม่ จึงยอมที่จะใช้คันเดิมไปก่อน ไม่เฉพาะอีวี แต่รวมถึงตลาดรถทั่วไปด้วยเช่นกัน”
ส่วนการที่รถมือสอง อีวี มีราคาที่ไม่นิ่ง ก็เป็นเพราะมีรถเข้าสู่ตลาดน้อยทำให้มีฐานข้อมูลไม่มาก รวมถึง อีวี ในปัจจุบันยังมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี เมื่อเทคโนโลยีนิ่ง ราคาก็จะนิ่งตามไปด้วย
นายภิญโญ ธนวัชรภรณ์ ผู้ประกอบการธุรกิจรถยนต์มือสอง “โยรัชดา” กล่าวว่า เต็นท์รับตลาดรถอีวีเข้ามาบ้างเช่นกัน แต่ไม่มากนัก เนื่องจากเจ้าของรถบางส่วนยังทำใจไม่ได้ในการขายรถ เนื่องจากราคาที่ตกลงมาก เป็นผลมาจากทั้งการที่อีวีมือสองเป็นของใหม่ในตลาด และการที่รถใหม่ป้ายแดง อีวี เปิดเกมสงครามราคาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งราคารถใหม่ที่ลดลงมา กดให้ราคารถมือสองต่ำลงไปอีก
ส่วนการรับ อีวี เข้าเต็นท์นั้น จะเน้นรุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาด และเป็นรถปีใหม่ๆ มีอายุการใช้งานไม่มาก เทคโนโลยียังไม่ตกรุ่น และจะเน้นการขายออกให้ได้ในเวลารวดเร็ว จอดคาเต็นท์ไม่นานนัก
มือสองส่อปรับราคาขึ้นปีหน้า
นายภิญโญ กล่าวว่า ตลาดรถยนต์มือสองในภาพรวมนั้นถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญไม่แพ้ตลาดรถป้ายแดงที่มีส่วนขับเคลื่อนตลาด และเศรษฐกิจ แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตลาดได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ และราคาที่หดตัวอย่างรุนแรงจากการแข่งขันด้านราคารถใหม่ ส่งผลให้มีรถเข้าสู่ตลาดน้อย โดยเฉพาะรถคุณภาพดี
“เมื่อก่อนที่จะเปลี่ยนรถส่วนใหญ่ใช้งานรถใหม่ 4-5 ปี แต่ปัจจุบันขยายเวลาออกไปเป็น 6-8 ปี”
อย่างไรก็ตาม การมีรถเข้าตลาดน้อย ก็ส่งผลดีในบางเรื่อง คือ ตลาดหาสมดุลในตัวเอง ราคาปรับตัวดีขึ้น ในกลุ่มรถคัดเกรด แต่ขณะเดียวกันคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเช่นกัน ในปี 2569 เนื่องจากทิศทางราคาจะปรับเพิ่มขึ้น ตามหลัก ดีมานด์ ซัพพลาย ยกเว้นรถที่ซื้อขายโดยไม่ได้ผ่านการซ่อมบำรุงก่อนขาย เช่น ตลาดประมูลที่ขายรถในสภาพที่ซื้อมา
มาตรการช่วยลูกหนี้ทำ "รถยึด" ชะลอตัว
นายสุธี สมาธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) หรือ AUCT เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าสถานการณ์ปริมาณรถเข้าสู่ลานประมูลตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบันยัง "ชะลอตัวลง” จากปีก่อน จากปัจจัยลบมาตรการรัฐช่วยเหลือลูกหนี้ปรับโครงสร้างก่อนเป็นหนี้เสีย (NPL) และมาตรการคุณสู้เราช่วยขยายเวลาต่อถึงก.ย.นี้ ซึ่งมาตรการนี้ทำให้รถยึดเข้าสู่ระบบประมูลชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน ปัจจุบันปริมาณรถที่เป็น NPL แล้ว เพิ่มขึ้นมากกว่า ปี 2566 และ ปี 2567 แต่ปริมาณยึดรถเข้าสู่ระบบประมูลกลับน้อยกว่า ปี 2566 และ ปี 2567 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่ปกติของกระบวนการ ทำให้ปริมาณรถยึดไม่เข้าสู่ระบบประมูลเช่นกัน
โดยข้อมูล NCB ครึ่งปีแรกพบว่า มีปริมาณรถที่เป็น NPL จำนวน 850,000-860,000 คัน ปริมาณรถที่ปรับโครงสร้างหนี้หลังจากที่เป็น NPL แล้วราว 120,000-130,000 คัน และปริมาณรถที่ปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็น NPL ยังมีอีกจำนวนสูงขึ้นมาเป็นเท่าตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน
ดังนั้น หากรวมปริมาณรถทั้ง 3 กลุ่มน่าจะถึงหลักล้านล้านคัน แต่สัดส่วนการไหลจากรถที่เป็น NPL มาเป็นรถยึดสู่ระบบประมูล ในปีนี้ไหลช้าจากกระบวนการช่วยเหลือลูกหนี้ ไม่ให้ไหลเป็น NPL ที่เร็ว และแรง
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า หากมาตรการคุณสู้เราช่วย “ยุติลง” คาดว่า ปริมาณรถยึดจะกลับเข้าสู่ระบบประมูลในอัตราที่สูงขึ้นมากกว่านี้อย่างชัดเจน หรือกลับมาในระดับเดียวกับปี 2566 และปี 2567
ราคารถยึดอัปเพิ่ม 10% จากปลายปีก่อน
ทางด้าน ราคารถยึดเข้าสู่ระบบประมูล ปัจจุบันยังคงสูงแข็งแกร่ง เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงปลายปีก่อน โดยยังคง “ทรงตัวสูง” ในระดับนี้มาต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนต่อเนื่องต้นปีนี้เป็นต้นมา มาจากปัจจัยบวก ความต้องการรถมือสองยังมีอยู่ แต่ปริมาณรถยึดในระบบชะลอตัวลง
แต่ยังต้องติดตาม ปัจจัยลบจากทางด้าน "ราคารถอีวี" ทำให้เกิดผลกระทบ สร้างความปั่นป่วนต่อราคารถทุกกลุ่มไปแล้วระดับหนึ่ง ทั้งรถอีวี และรถสันดาปที่คนซื้อขาดความมั่นใจไประดับหนึ่ง รวมถึงราคารถมือสองได้รับผลกระทบต่อเนื่องเช่นกัน
แต่ในเชิง "ปริมาณรถนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มรถอีวี" มองว่า ระยะสั้นถึงสิ้นปีนี้ ยังไม่มีนัยต่อราคารถทั้งระบบแต่อย่างใด ยังต้องติดตามในระยะถัดไป
ดังนั้น คาดแนวโน้มราคารถยึดสู่ระบบประมูลหลังจากนี้ยังคง “ทรงตัวระดับสูง” ต่อเนื่องถึงสิ้นปี 2568
ถึงแม้ปกติไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปีจะเป็นช่วงที่มีปริมาณรถยึดเข้าสู่ระบบประมูลค่อนเข้าสูง โดยประเมินปริมาณรถยึดน่าจะไหลเข้ามาช้าๆ ไม่รวดเร็ว แต่จะมากกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมาที่ชะลอลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเดือนเม.ย. มีปัจจัยลบเหนี่ยวรั้งค่อนข้างมาก และมองว่าช่วงที่เหลือปีนี้สถาบันการเงินจะเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ใหม่เช่นเดิม จากหนี้ครัวเรือน และ NPL ยังอยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้ ไฟแนนซ์ น่าจะยังชะลอการยึดรถ แม้ว่าการขายขาดทุนรถยึดจะชะลอลงในปัจจุบันมาอยู่ที่ระดับ 40% ของการขายรถยึดทั้งหมด จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเคยแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 50% แต่ยังถือว่าอยู่ระดับที่สูงกว่าในอดีตอยู่ที่ระดับ 30% เท่านั้น ดังนั้นหากการขายขาดทุนรถยึดชะลอลงมากกว่าปัจจุบัน คาดว่าไฟแนนซ์จะกลับมายึดรถเร็วขึ้น และมีโอกาสปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ขายรถออกลานยอดดีกว่าปีก่อน
ขณะที่การขายรถออกของระบบประมูลในปีนี้ย้ำว่า “ไม่มีปัญหา” และ “ไม่มีอุปสรรค” ยังสามารถขายรถออกได้ทุกคัน เพียงแต่ว่าอัตราการขายรถจบต่อรอบ (Success Rate) อาจผันแปรบ้าง แต่พบว่า ในปีนี้ อัตรา Success Rate ของ สหการประมูล ยังถือว่าดีกว่าปีก่อน โดยค่าเฉลี่ยภาพรวมอยู่ที่ 50-60% และในกลุ่มที่ขายให้กับไฟแนนซ์ที่เป็นสถาบันการเงินหลักที่มีมาตรฐาน ค่าเฉลี่ยสูงถึง 80-90%
“จริงๆ แล้วอัตราการจบในปีนี้ดีขึ้น ช่วยให้เราขายรถได้ดีขึ้น แม้ว่าจะมีการขายขาดทุนของแบงก์ลดลง จากราคารถที่ขยับขึ้นก็ตาม ถือว่าเป็นปัจจัยหนุนทำให้ภาพรวมธุรกิจของเราปีนี้ยังเติบโตในสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะชะลอตัวลงตามปริมาณรถยึดที่ชะลอลง ”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







