‘กองทุน‘ จัดพอร์ตใหม่ รับครึ่งหลัง นโยบายศก.-การเมือง ยังไม่ชัด

“กองทุน” มอง“หุ้นไทย” ยังเผชิญแรงกดดัน ผ่านความไม่แน่นอนทางการเมือง- นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่ชัด ชูปรับพอร์ตใหม่เพิ่มความยืดหยุ่น “หมุนเวียนอุตฯ-คัดรายตัว”
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง นโยบายเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน และผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
- กองทุนต่างๆ ปรับกลยุทธ์การลงทุนรับครึ่งปีหลัง โดยเน้นเพิ่มความยืดหยุ่น ลดความเสี่ยง และหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive หุ้นปันผลสูง และกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ
- แม้ระยะสั้นตลาดยังมีความผันผวน แต่คาดว่ามีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง หากภาครัฐเร่งผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติกลับมา
“กองทุน” หลายแห่งต่างมีมุมมองไปทิศทางเดียวกัน “ตลาดหุ้นไทย” ยังคงเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนผ่านความไม่แน่นอนทางการเมือง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่มีความชัดเจน และประเด็นการเก็บภาษีนำเข้า 19% จากสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) “กลุ่มส่งออก” ทำให้มุมมองต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น (3-6 เดือน) ยังคงอ่อนแอ และนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง
แต่เชื่อในครึ่งหลังปี 2568 ว่า ตลาดหุ้นมี “โอกาสฟื้นตัว” หากรัฐบาลสามารถเร่งผลักดันนโยบาย กระตุ้นเศรษฐกิจ และ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้สำเร็จ รวมถึงประเมินว่า “นักลงทุนต่างชาติ” จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง เมื่อความเชื่อมั่นฟื้นตัว และมองว่าราคาหุ้นไทยในปัจจุบัน “ยังไม่แพง”
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ( บลจ.) อีสท์สปริง กล่าวว่า มีมุมมองว่า “ตลาดหุ้นไทย” ยังเผชิญแรงกดดันจาก 2 ปัจจัยหลักที่ต้องจับตา คือ 1. ผลกระทบจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ที่ไทยถูกเก็บภาษีนำเข้า 19% และ 2. ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
ดังนั้น มุมมองระยะสั้น (3-6 เดือน) มองว่าบรรยากาศลงทุน (Sentiment) ยังคงอ่อนแอ และนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่องจากความกังวลเชิงโครงสร้าง ขณะเดียวกัน กำไรบจ. (Earnings) ของหลายบริษัทเผชิญแรงกดดันโดยเฉพาะ “กลุ่มส่งออก” ที่ต้องแข่งขันกับประเทศที่ได้สิทธิภาษีจากสหรัฐ
นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจยังรอความชัดเจน ทำให้ภาพการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศยังไม่เด่นชัด แต่หากรัฐบาลสามารถ เร่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ-บริโภคภายในประเทศได้ และเร่งโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ หุ้นไทยจะได้อานิสงส์โดยตรงลง ประเมินดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ ที่ 1,250-1,290 จุด
สำหรับ กลยุทธ์ลงทุนมุ่งเน้นเพิ่มความยืดหยุ่นของพอร์ต (Flexible Allocation) เราสลับเปลี่ยนกลุ่มจาก thematic growth ที่เติบโตแรงในปีที่แล้ว มาเพิ่มน้ำหนักในกลุ่ม defensive และ income-generating asset เช่น หุ้น high-dividend, infrastructure fund และตราสารหนี้คุณภาพสูง
“เชาวน์กร โชติบัณฑ์” Head of Investment Strategy บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้ ยังติดตามพัฒนาการเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะจากปัจจัยการเมืองในประเทศ และมาตรการกระตุ้นการบริโภคต้องเร่งผลักดันเพิ่มเติม หากชัดเจนมากขึ้น มองว่าจะเป็นแรงส่งตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป จากปัจจุบันเรายังคงดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่กรอบ 1,250-1,300 จุด
“อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวก่อนหน้านี้และกลับมาปรับตัวขึ้นที่ระดับ 1,100 จุด และทะลุระดับ 1,200 จุด แม้มีปัจจัยภาษีทรัมป์ 19% ใกล้เคียงประเทศอื่นในภูมิภาค ดัชนีหุ้นไทยยังยืนเหนือระดับ 1,200 จุดเอาไว้ได้ มองว่าอัปไซด์ระยะสั้นน่าจะจำกัดแล้ว แต่หากตลาดปรับฐานลงมา มองเป็นโอกาสเข้าสะสม จาก Valuation หุ้นไทยยังไม่แพง โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นบิ๊กแคป SET 50 และหุ้นปันผลดี”
สำหรับ กลยุทธ์จัดพอร์ตลงทุนหุ้นครึ่งปีหลังนี้เปิดรับความเสี่ยงพร้อมรับมือ ท่ามกลางตลาดยังเผชิญความผันผวนและยังมีความเสี่ยงภาษีทรัมป์ที่ต้องติดตามว่าจะส่งผลกระทบภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจจริง Overweight สัดส่วน 50% พอร์ตลงทุน กระจายการลงทุนทั่วโลก หลากหลาย หุ้นสหรัฐ สัดส่วนมากที่สุด ที่เหลือให้น้ำหนักการลงทุนตามความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ โดยโฟกัสหุ้นไทย , หุ้นอินเดีย , หุ้นจีน และหุ้นเวียดนาม
“ศิระ คล่องวิชา” ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มีแนวโน้มสดใสกว่าครึ่งปีแรก โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญหลายประการ เช่น ความขัดแย้งด้านการค้ากับสหรัฐ และแรงเทขายจาก “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” หรือ LTF เริ่มมีความชัดเจนและคลี่คลายลง ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ก็คาดว่าอยู่ในกรอบที่นักลงทุนได้ประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว
อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ การกลับเข้ามาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงในช่วงต้นปีที่ผ่านมามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ดังนั้น สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา
ทั้งนี้ ประเมินว่า ดัชนี SET ณ สิ้นปี 2568 มีโอกาสแตะระดับ 1,320 จุด คิดเป็น PER เป้าหมายที่ประมาณ 15x บน EPS ที่ 88.5 บาทต่อหุ้น โดยกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้เป็นการปรับพอร์ตแบบ หมุนเวียนกลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นรายตัว (Sector and Stock Rotation) เพื่อให้พอร์ตการลงทุนได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของตลาดได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
“วิน พรหมแพทย์” ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย หรือ KAsset กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สิ่งที่นักลงทุนจำเป็นต้องจับตามองเป็นพิเศษ คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จากกรณีที่ทางสหรัฐฯได้ประกาศเก็บภาษีแบบต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศไทยในอัตรา 19% จากเดิม 36% โดยมีผล 1 ส.ค.นี้ หลายคนอาจไม่ทราบผลกระทบที่แท้จริงของ Tariffsที่มีต่อประเทศไทยในที่19%นี้มากนัก
อย่างไรก็ตาม เรายังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ที่กรอบ 1,050-1,300 จุด มั่นใจหากการย่อตัวของดัชนีรอบนี้ไม่ต่ำกว่ามุมมองที่กรอบล่างระดับ 1,050 จุด หุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ หากนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ของต่างประเทศ กลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะช่วยเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันดัชนีให้เติบโตได้ตามเป้าหมายได้สำหรับหุ้นเด่นเน้นหุ้นกลุ่มปันผล ได้แก่ อสังหาฯ ธนาคาร พลังงาน สื่อสาร







