‘เงินบาท‘แข็งค่า ซ้ำผันผวนหนัก ฉุดขีดความสามารถแข่งขัน-ส่งออกไทย

เงินบาทแข็งค่าขึ้น นักวิเคราะห์มองเทรนด์ยังแข็งค่าต่อ ซ้ำผันผวนแรง ห่วงเพิ่มต้นทุนธุรกิจ โดยเฉพาะภาคการส่งออก ฉุดความสามารถแข่งขันทรุด
KEY
POINTS
- นักวิเคราะห์ชี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก คือการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภาค
- นอกจากแข็งค่าแล้ว เงินบาทยังมีความผันผวนรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นน่ากังวลที่ทำให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงได้ยาก
- การแข็งค่าและความผันผวนของเงินบาทส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันและภาคการส่งออกของไทย
สถานการณ์ “ค่าเงินบาท” เริ่มพลิกกลับมาสู่ “การแข็งค่า” มากขึ้น เป็นผลจากความเคลื่อนไหวเงินดอลลาร์ เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐไม่เป็นอย่างที่คาดขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับลดดอกเบี้ยแรงกว่าที่คาดไว้ได้
นายสงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การที่เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าสาเหตุหลักๆมาจากปัจจัยต่างประเทศ จากการประกาศตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ ที่ออกมาแย่กว่าที่คาด
สะท้อนภาพเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอลง และตลาดยังคาดการณ์ว่าเฟดอาจมีการปรับลดดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งก่อนสิ้นปี
“ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหากเทียบกับทุกสกุลเงิน และส่งผลให้เงินบาทของไทยกลับมาแข็งค่าขึ้นจาก 32.80 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 32.46 บาทต่อดอลลาร์ ในปัจจุบัน”
ทั้งนี้ หากดูการแข็งค่าของเงินบาท ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้นแล้วราว 5-6% หากเทียบกับดอลลาร์ ส่วนหนึ่งจากการเข้าไปดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ให้แข็งค่าเร็วเกินไป ทำให้ข้อมูลบัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศที่พุ่งสูงทำระดับสูงสุดใหม่ไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา จากการเข้าซื้อดอลลาร์เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท
การกลับมาแข็งค่ามากขึ้นของเงินบาท มองว่ายังไม่ใช่เกมของการเล่นสงครามค่าเงิน แต่มาจากความต้องการของสหรัฐที่ต้องการให้ดอลลาร์อ่อนค่า หากเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ เพื่อลดการขาดดุลการค้า และเพิ่มการแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น
ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียตลอด 5-6 เดือนที่ผ่านมาส่วนใหญ่อยู่ในทิศทางแข็งค่าขึ้น หากเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสกุลเงินสำคัญ อย่าง ดอลลาร์ไต้หวัน วอนเกาหลี และ เยนญี่ปุ่น ที่แข็งค่าเทียบดอลลาร์ ไม่เฉพาะเงินบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้เงินบาทในช่วงที่ผ่านมาอ่อนค่าไปบ้าง แต่ทิศทางแข็งค่าของค่าเงินบาทยังเป็นเทรนด์แข็งแรง ในทางกลับกันอาจกระทบต่อขีดความสามารถการแข่งขันการส่งออก โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐ
ห่วง “เงินบาท” ผันผวนรุนแรง
นางสาวกาญจนา โชคพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า สิ่งที่น่าห่วงคือ นอกจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าเงินบาทยังมีความผันผวนรุนแรงมากขึ้นเพียงช่วงข้ามคืน จากระดับวันศุกร์ที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ มาสู่ 32.46 บาทต่อดอลลาร์ในปัจจุบัน
โดยเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากขึ้น จากความผันผวนสูงของค่าเงินบาท ที่อาจกระทบต่อผู้ประกอบการทั้ง ฝั่งผู้ประกอบการหรือผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ทำให้ภาคธุรกิจอาจยากขึ้นในการหาจังหวะการซื้อขายต่างๆ
ดังนั้นมีความจำเป็นที่ระยะนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปิดความเสี่ยงหรือ เฮดจิ้งค่าเงินให้ดีเพื่อรับกับความผันผวนของค่าเงินบาทที่มากขึ้น
หากดูความผันผวนของค่าเงินบาท พบว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เงินบาทผันผวนแล้วอยู่ที่ราว 7-8% ซึ่งเป็นการผันผวนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับอดีตที่อยู่ระดับต่ำเพียง 3-5% เท่านั้น ซึ่งสวนทางกับการแข็งค่าของค่าเงินบาท ที่นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แข็งค่าไม่ถึง 5%
“ปัญหาหลักคือ เปอร์เซ็นต์ของความผันผวนที่เหวี่ยงไปเหวี่ยงมารายวันสูงขึ้น ทำให้การปิดความเสี่ยง และการบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบมากขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากความผันผวนสูงยังคงอยู่ ต่อเนื่องหลังจากนี้”
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนที่สูงขึ้นของค่าเงินบาท ส่วนหนึ่งมาจาก การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ที่สอดคล้องกับการปรับขึ้นของราคาทองคำ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากความเชื่อมโยงระหว่างเงินบาทและทองคำที่ค่อนข้างสูงทำให้เป็นปัจจัยหนุนให้เงินบาทเคลื่อนไหวนผวนมากขึ้น
สำหรับมุมมองของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดทิศทางเงินบาทในช่วงหลังจากนี้ค่าเงินบาทปลายปี จะอยู่ที่ระดับ 33.70 บาทต่อดอลลาร์โดยมีโอกาสอ่อนค่าขึ้น
ห่วงหลุด 32 บาท“ส่งออก”เสี่ยงสะดุด
นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทก็ยังคงเกาะกลุ่มไปกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค
ดังนั้นในสัปดาห์นี้ (4-8 ส.ค.) มองเงินบาท แกว่งตัว ในกรอบ 32.25-32.85 บาทต่อดอลลาร์ และในระยะสั้น ยังไม่น่าแข็งค่าหลุดระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์
หากเงินบาทแข็งค่าหลุดระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ ยอมรับว่าเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของไทยเช่นกัน แต่ปัจจัยกดดันบาทแข็งค่านั้นขึ้นกับปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อดอลลาร์ เป็นหลัก
“มองว่าไตรมาส 4 ปีนี้ มีโอกาสแข็งค่าหลุด 31 บาทต่อดอลลาร์ เพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว มาตรการกีดกันการค้าสหรัฐ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐมีความอ่อนไหวมากขึ้น และเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย เพราะดอกเบี้ยสหรัฐในปัจจุบันถือว่ายังอยู่ระดับค่อนข้างสูง”
ดังนั้น ยังต้องรอติดตามประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะการทบทวนตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ และ เฟดก็ยังมีโอกาสคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. นี้ และระยะกลางยาวหากเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีไม่แย่ เฟดคงลดไม่ได้ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันบาทแข็งค่าได้เช่นกัน
ดังนั้นในระยะกลางถึงยาว คงไม่สามารถใช้อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงิน) เป็นตัวช่วยส่งออกของไทยได้เพียงอย่างเดียว
และหากบาทแข็งค่าในระยะกลางถึงยาว การแข่งขันของส่งออกก็ยิ่งลำบาก ขอแนะภาครัฐ จำเป็นต้องเร่งวางมาตรการดูแลภาษีทรัมป์ ด้วยการปฏิรูปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปพร้อมกับช่วยส่งออกในอุตสาหกรรมของไทยที่ได้รับผลกระทบจากทั้งบาทอ่อนมากกกว่าหรือแข็งค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ซึ่งต้องพิจารณาช่วยเหลือเป็นรายสินค้า
บาทอ่อนค่าระดับ 35 บาท“ยังยาก”
ส่วนกรณีที่ เงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์นั้น กรณีนี้มีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างยาก จากสถานการณ์ในตอนนี้ เพราะก่อนหน้าเงินบาทมีแข็งค่าขึ้นมาครั้งก่อนที่ระดับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์
แต่เมื่อมีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาบาทอ่อนค่าทันที แต่ก็อ่อนค่าได้ไม่นานเมื่อมีปัจจัยต่อเงินดอลลาร์ ทำให้เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่า
อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสนับสนุนบาทอ่อนค่านั้น แม้จะมีผู้ว่าธปท. คนใหม่ ที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยแต่ไม่คิดว่าจะลดดอกเบี้ยนโยบายของไทย ลงไปที่ระดับ 0% ในปีนี้ คาดลดดอกเบี้ยนโยบาย 2-3 ครั้งปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปีนี้มีโอกาสปรับลงมาแตะ 1% เท่านั้น
ยกเว้นหากเศรษฐกิจสหรัฐดีมาก เงินดอลลาร์แข็งค่า เฟดไม่ลดดอกเบี้ย ซึ่งปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อเงินดอลลาร์เท่านั้น รวมถึงราคาทองยิ่งดิ่งลง จะทำให้บาทอ่อนค่าเร็วซึ่งกรณีนี้ ยังเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ในสถานการณ์ระยะสั้นนี้ช่วงนี้
ในส่วนธปท. เข้ามาดูแล ค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน และ ไม่สวนกระแสโลก เป็นการ เข้ามาเพื่อช่วยชะลอปัญหาให้กับผู้ประกอบการไทย จะเห็นได้ว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ 25 ก.ค. เทียบกับ 18 ก.ค. หรือในช่วง 7 วัน จาก 261,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็น 254,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่ม 3,000 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์เดียว
สะท้อนการเข้าดูแลฝั่งซื้อดอลลาร์ ทำให้เงินบาทแข็งค่ากลับมาสอดคล้องกับภูมิภาค หลังจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์และซื้อบาทจนกลับมาแข็งค่าเร็ว
ค่าเงินเอเชียแข็งค่ารับความกังวลดอลลาร์
ค่าเงินในหลายประเทศเอเชียปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 4 ส.ค. นำโดยค่าเงินริงกิตมาเลเซีย ที่แข็งค่าขึ้นเกือบ 1% เมื่อเทียบดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 4.233 ริงกิตต่อดอลลาร์ และค่าเงินรูเปียห์อินโดนีเซียกับดอลลาร์ไต้หวันที่แข็งค่าขึ้นสูงสุด 0.7% เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่นักลงทุนกำลังประเมินว่าอัตราภาษีศุลกากรใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างไร
ด้านค่าเงินในหลายประเทศเอเชียต่างก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน โดยเงินวอนเกาหลีใต้ และรูปีอินเดีย แข็งค่าขึ้น 0.3% ขณะที่ค่าเงินของไทยและสิงคโปร์บวก 0.2%
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหนักมากกว่า 1% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังจากมีการรายงานตัวเลขการจ้างงานสหรัฐล่าสุดที่ออกต่ำกว่าคาดไว้มาก จนทำให้ตลาดหันมาเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. นี้
คริสโตเฟอร์ หว่อง นักกลยุทธ์ค่าเงินธนาคารโอซีบีซี กล่าวว่า การเทขายดอลลาร์อย่างรุนแรงทำให้สกุลเงินเอเชียปรับตัวขึ้น เนื่องจากตลาดต่างเดิมพันอย่างหนักกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดในเดือนก.ย. นี้ ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอได้ส่งผลกระทบต่อ “ความพิเศษของสหรัฐ” (US exceptionalism) ที่เคยหนุนดอลลาร์อยู่
ทั้งนี้ นโยบายการเงินของธนาคารในเอเชียกลายเป็นสิ่งที่ถูกจับตามองต่อไปภายหลังสหรัฐมีความชัดเจนเรื่องภาษีศุลกากรไปเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา
โดยธนาคารกลางของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่วนธนาคารกลางอินเดียจะประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันพุธนี้ และการประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า







