รู้อะไรก็ไม่สู้...รู้งี้

รู้อะไรก็ไม่สู้...รู้งี้

การทำประกันชีวิตไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันความเสี่ยงในวันนี้ แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่ออนาคตของคุณและคนที่คุณรัก อย่าปล่อยให้เกิดเหตุในอนาคตแล้วมาพูดว่า “รู้งี้”... แต่จงแทนที่ด้วยคำว่า “โชคดีที่มีประกัน”

KEY

POINTS

  • การมีประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุ เป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนการเงินเพื่อรับมือกับเหตุไม่คาดฝัน ช่วยแบ่งเบาภาระและป้องกันการล้มละลายทางการเงิน ซึ่งดีกว่าการไม่มีหลักประกันแล้วต้องมาเสียใจภายหลังและพูดว่า “รู้งี้”
  • เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปฏิเสธความคุ้มครองในอนาคต ผู้เอาประกันต้องยึด "หลักสุจริตใจอย่างยิ่ง" โดยการเปิดเผยข้อมูลสุขภาพตามความจริงในใบคำขอ และลงนามในเอกสารทุกฉบับด้วยตนเอง
  • ควรเลือกแบบประกันที่ "เหมาะกับตัวเอง" โดยทำความเข้าใจประกันประเภทต่างๆ เช่น แบบชั่วระยะเวลา, ตลอดชีพ, สะสมทรัพย์, บำนาญ หรือแบบควบการลงทุน เพื่อให้ตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตและเกิดประโยชน์สูงสุด
  • ก่อนตัดสินใจทำประกัน ควรประเมินความสามารถทางการเงินของตนเอง โดยเบี้ยประกันที่จ่ายควรอยู่ที่ประมาณ 10-15% ของรายได้ต่อปี เพื่อให้สามารถจ่ายได้อย่างต่อเนื่องและความคุ้มครองไม่สิ้นสุดลง

ในยุคที่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นเหตุไม่คาดฝัน ความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ การมี ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันอุบัติเหตุ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการวางแผนอนาคตทางการเงิน ซึ่งจะช่วยดูแลให้ความคุ้มครองคุณตลอดจนคนที่คุณรัก หากเกิดเหตุขึ้นจะได้รับการบรรเทาทุกข์ แบ่งเบาภาระที่เกิดขึ้น ช่วยให้คุณตั้งหลักได้เร็วขึ้น ไม่เกิดการล้มละลายทางการเงิน ดีกว่าไม่มีหลักประกันอะไรเลย แล้วค่อยบอกว่า “รู้อะไรก็ไม่สู้... รู้งี้” แต่ก่อนที่จะทำประกันเรามาทำความเข้าใจเงื่อนไข และวิธีการพิจารณาเลือกแบบประกันที่เหมาะกับความต้องการของแต่ละบุคคล ก็จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุด

1. กรอกใบคำขออย่างตรงไปตรงมายึด “หลักสุจริตใจอย่างยิ่ง”

หนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่สุดของการทำประกันชีวิตคือ การกรอกใบคำขอเอาประกันภัย ซึ่งต้องอาศัย “หลักสุจริตใจอย่างยิ่ง” ผู้เอาประกันภัยต้องเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความจริง อย่างตรงไปตรงมา โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ประวัติการรักษา และโรคประจำตัว (ถ้ามี) หากปกปิดข้อมูลหรือให้ข้อมูลไม่ตรงความจริง บริษัทประกันมีสิทธิ์ปฏิเสธความคุ้มครอง และอาจถือว่าสัญญานั้นเป็น “โมฆียะ” ทั้งในกรณีของประกันชีวิตและประกันสุขภาพ

แต่ที่สำคัญยิ่งคือ ผู้เอาประกันภัยควรลงนามในเอกสารทุกฉบับด้วยตนเอง เพื่อแสดงเจตจำนงอย่างแท้จริง และยืนยันว่าข้อมูลที่ให้ไว้นั้นถูกต้องสมบูรณ์ ไม่ควรให้ผู้อื่นกรอกหรือลงชื่อแทน เพราะอาจ นำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย และกระทบสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าสินไหมในอนาคต (คำเตือน : การฉ้อโกงประกันถือเป็นความผิดอาญา ดังนั้นโปรดตอบคำถามและยืนยันตัวตน ด้วยลายมือชื่อของตนเองเท่านั้น)

ระบุผู้รับประโยชน์

การระบุผู้รับประโยชน์และสัดส่วนที่จะได้รับถือเป็นการวางแผนจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ให้เรียบร้อย หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับตัวคุณเอง

ผู้รับประโยชน์ คือใคร

ผู้รับประโยชน์ (Beneficiary) คือ บุคคลที่ผู้เอาประกันระบุไว้ว่าจะมอบประโยชน์ให้หากผู้เอาประกันเสียชีวิต โดยสามารถเลือกผู้รับประโยชน์ได้หลายคน และกำหนดสัดส่วนที่ได้รับในอัตราส่วนที่ต่างกันก็ได้ และควรเป็นผู้มีส่วนได้เสียในชีวิตของผู้เอาประกันภัย เช่น ทายาททางกฎหมาย หรือสายเลือด เช่น คู่สมรส บุตร คู่สมรส หรือพ่อแม่

คู่สมรสไม่ได้จดทะเบียน เป็นผู้รับประโยชน์ได้ไหม

ผู้เอาประกันที่แต่งงานแบบไม่ได้จดทะเบียนสมรส สามารถระบุคู่สมรสเป็นผู้รับประโยชน์ได้ โดยต้องแสดงเอกสารหรือทำหนังสือรับรองความสัมพันธ์ระหว่างผู้เอาประกันและผู้รับประโยชน์ให้กับบริษัทประกัน

2. เลือกแบบประกันที่ “เหมาะกับตัวเอง”

ประกันชีวิตมีหลายแบบ หากไม่แน่ใจว่าจะเลือกประกันชีวิตแบบไหนดี ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจประเภทประกันชีวิตก่อน โดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ ประกันชีวิตแบบพื้นฐานและแบบประกันชีวิตพิเศษประกันชีวิตแบบพื้นฐานมี 4 แบบ ได้แก่

1. แบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance) :

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองในช่วงเวลาจำกัด เช่น 1 ปี, 5 ปี หรือ 10 ปี ความคุ้มครองจะสิ้นสุดเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนด และหากผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างระยะเวลาที่กำหนด ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ หากผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบระยะเวลาจะไม่ได้รับเงินคืน

2. แบบตลอดชีพ (Whole Life) :

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตแบบระยะยาวจนถึงอายุที่กำหนด เช่น 85 ปี, 90 ปี หรือ 99 ปี ผู้เอาประกันภัยจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วรับความคุ้มครองตลอดอายุสัญญากรมธรรม์ หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตก่อนครบกำหนด ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

3. แบบสะสมทรัพย์ (Endowment) :

แบบประกันที่ผสมระหว่างการคุ้มครองชีวิตและการออมเงิน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บออมแบบมีวินัย และได้ความคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปด้วย โดยผู้เอาประกันภัยจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเป็นรายเดือน หรือรายปี โดยมีระยะเวลา 5 ปี, 10 ปี, 15 ปี หรือมากกว่านั้น

4. แบบบำนาญ (Annuity) :

แบบประกันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยวางแผนเกษียณ ให้มีรายได้ประจำหลังเกษียณจากการทำงาน โดยผู้เอาประกันภัยจะจ่ายเบี้ยประกันภัยในช่วงอายุที่กำหนด เช่น ตั้งแต่อายุ 30–55 ปี มักจ่ายเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 5 ปี, 10 ปี หรือ 20 ปี (แล้วแต่แบบประกัน) โดยจะเริ่มรับเงินบำนาญตอนอายุ 55, 60 หรือ 65 ปี (ขึ้นอยู่กับกรมธรรม์) จนถึงอายุ 85 หรือ 90 ปี และสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาทต่อปี

ประกันชีวิตแบบพิเศษ:

ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit-Linked Insurance) : เป็นการผสมผสานระหว่างความคุ้มครองชีวิตและการลงทุน เบี้ยประกันภัยส่วนหนึ่งจะถูกนำไปลงทุนในกองทุนรวม และอีกส่วนหนึ่งจะถูกใช้เพื่อความคุ้มครองชีวิต มีความยืดหยุ่นสูง

แบบประกันสุขภาพ (Health Insurance) : เป็นแบบประกันที่เป็นสัญญาเพิ่มเติมต้องทำพ่วงกับประกันชีวิตหลัก แบบประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเมื่อผู้เอาประกันเกิดการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ โดยบริษัทประกันจะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้เอาประกัน โดยจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี หรือรายงวด (แล้วแต่ผู้เอาประกันภัยจะเลือก)

แบบประกันอุบัติเหตุ (Personal Accident Insurance หรือ PA) : เป็นแบบประกันที่เป็นสัญญาเพิ่มเติมต้องทำพ่วงกับประกันชีวิตหลัก โดยจะให้ความคุ้มครองกรณีผู้เอาประกันประสบอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ลื่นล้ม รถชน หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ โดยบริษัทประกันจะจ่ายเงินชดเชยหรือค่ารักษาพยาบาลตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยจะจ่ายเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี หรือรายงวด (แล้วแต่ผู้เอาประกันภัยจะเลือก)

ถ้ายังไม่แน่ใจทราบว่าแต่ละแบบประกันเหมาะที่จะทำช่วงเวลาไหน ลองดูแนวทางการวางแผนประกันตามช่วงอายุที่เหมาะสมดังนี้

(ตาราง)  

3. ประเมินความสามารถทางการเงิน ก่อนตัดสินใจ

การเลือกแบบประกันควรพิจารณาความเหมาะสมกับ “ภาระ” “เป้าหมายชีวิต” และ “กำลังจ่าย” ของตนเอง เบี้ยประกันภัยควรอยู่ในระดับที่สามารถจ่ายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจ่ายประมาณ 10-15% ของรายได้ต่อปี เพื่อไม่ให้กระทบการเงินในระยะยาว เพราะความต่อเนื่องคือหัวใจของประกันชีวิต

อย่าลืมว่า การทำประกันชีวิตไม่ใช่แค่เรื่องของการป้องกันความเสี่ยงในวันนี้ แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่ออนาคตของคุณและคนที่คุณรัก อย่าปล่อยให้เกิดเหตุในอนาคตแล้วมาพูดว่า “รู้งี้”... แต่จงแทนที่ด้วยคำว่า “โชคดีที่มีประกัน”