นักเศรษฐศาสตร์ห่วง ‘ส่งออก’ ร่วงแรงครึ่งหลัง ลามติดลบถึงปีหน้า

นักเศรษฐศาสตร์ห่วง ‘ส่งออก’ ร่วงแรงครึ่งหลัง ลามติดลบถึงปีหน้า

นักเศรษฐศาสตร์ ห่วงหากไทยถูกเก็บภาษีจากทรัมป์สูงกว่าคู่แข่งครึ่งหลังส่งออกร่วงแรงติดลบ 8-10% ลามกระทบถึงปีหน้า

นักเศรษฐศาสตร์ห่วง ‘ส่งออก’ ร่วงแรงครึ่งหลัง ลามติดลบถึงปีหน้า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ตัวเลข “ส่งออกของไทย” กลับมาเป็นบวกอย่างแข็งแกร่ง หลายฝ่ายมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณดีของการฟื้นตัวหลังภาวะชะลอในปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมในครึ่งปีหลังยังเต็มไปด้วย “ปัจจัยเสี่ยง” ที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และ “แรงกดดัน” จากภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่อาจกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย และกระทบภาคการส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • KKPห่วงไทยถูกเก็บภาษีสูงส่งออกร่วงแรง

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า แม้การส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีแรกจะเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่ความเสี่ยงที่สะสมอยู่ในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจากนโยบายการค้า “ทรัมป์” ที่จะมีผลกระทบต่อส่งออกมากขึ้น ที่จะเป็นตัวฉุดต่อเศรษฐกิจไทยให้เปราะบางมากขึ้น

ปัจจุบัน ภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปสหรัฐยังไม่สูงมากนัก อยู่ที่ราว 10-15% และหลายรายการยังได้รับข้อยกเว้น แต่มีความเสี่ยงว่าอัตราภาษีจะถูกปรับเพิ่มเป็น 20-36% ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยทันที และอาจทำให้สินค้าไทยสูญเสียตลาดสำคัญอย่างสหรัฐไปให้กับประเทศคู่แข่งที่มีภาษีต่ำกว่า เช่น เม็กซิโก หรือเวียดนาม

ยิ่งไปกว่านั้น ความน่ากังวลไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับภาษีเท่านั้น แต่รวมถึงนิยามใหม่ที่อาจเกิดขึ้น เช่น หากสหรัฐ ขยายเกณฑ์ “สินค้าจีน” ให้ครอบคลุมสินค้าที่มีชิ้นส่วนจีนผสมอยู่ แม้ประกอบในไทย ก็อาจโดนภาษีด้วย ซึ่งอาจกระทบต่ออุตสาหกรรมที่พึ่งพาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากจีนอย่างมาก เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์

“ถ้าเกิดเราโดนภาษีเยอะกว่านี้ เราเละแน่นอน ญี่ปุ่นจ่ายแค่ 15% แต่เราจ่าย 36% แล้วแบบนี้ การลงทุนใหม่จะมาไหม และวันนี้ทุกคนที่มีของก็รีบขายออกมาให้หมดก่อน แต่ครึ่งปีหลังถ้าโดนภาษีขึ้นจริงๆ ส่งออกร่วงแน่นอน”

อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขส่งออกที่ดูดีในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งระบายสินค้าคงคลังหลังจากการชะลอตัวในปีที่ผ่านมา โดยมีแรงจูงใจจากความเสี่ยงด้านภาษีที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่ปัญหาคือ แม้ยอดส่งออกจะดูดี แต่ยอดการผลิตภายในประเทศกลับไม่ปรับตัวขึ้นตาม นั่นหมายความว่า ภาคการผลิตยังไม่ได้รับแรงกระตุ้นจากการส่งออกมากเท่าที่ควร

และอาจสะท้อนว่า ความต้องการในอนาคตอาจไม่ได้แข็งแรงอย่างที่ตัวเลขที่เห็น ดังนั้นแม้ส่งออกดีขึ้น แต่ยอดการผลิตไม่ดีขึ้นเลย เหล่านี้คือปัญหาใหญ่ เพราะมันไม่ได้สะท้อนกลับมาที่การผลิตเลย

สำหรับทางออกของประเทศไทยเพื่อลดผลกระทบส่งออก เราต้องเจรจาการค้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกับสหรัฐ และจีน เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ภาพของภาษีนำเข้าและนิยามสินค้ามีความชัดเจนขึ้น นักลงทุนและผู้ส่งออกจะได้ปรับตัวได้ทัน

  • “ซีไอเอ็มบีไทย”คาดมีโอกาสติดลบ 8-10%

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะจากสัญญาณการชะลอตัวของการส่งออกนั้นเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย ที่ส่งออกเติบโตช้าลง 

ทั้งนี้ การคาดการณ์ส่งออกของซีไอเอ็มบีไทย ทั้งปีอยู่ที่ 3.5% อยู่ภายใต้การคาดการณ์ว่า ภาษีทรัมป์จะอยู่ที่ 25-30% แต่หากภาษีทรัมป์กับไทยสูงกว่าที่ประเมินไว้ ผลกระทบส่งออกอาจทวีความรุนแรงขึ้น

โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง ที่คาดว่า ส่งออกมีโอกาสติดลบอยู่ที่ 8-10% และผลกระทบจากส่งออกจะมีให้เห็นลากยาวต่อไปถึงครึ่งปีแรกปีหน้า

โดยสัญญาณการชะลอตัวของการส่งออกที่เห็นแล้วในครึ่งปีหลัง ทั้งจากภาคการผลิตในประเทศสำคัญ จากการติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) และความเชื่อมั่นของผู้จัดซื้อในประเทศส่งออกสำคัญของโลก เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค แสดงให้เห็นว่าสัญญาณกำลังแผ่วลง เช่นเดียวกับการเดินเรือ ซึ่งสะท้อนถึงคำสั่งซื้อที่ลดลง

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ทรุดลามถึงปีหน้า

บุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่าประเด็นที่น่าห่วงขณะนี้คือ “ส่งออก” เพราะแม้ครึ่งปีแรกจะดูดีในแง่ตัวเลข แต่เนื้อในกลับมีสัญญาณอ่อนแรง และมีแนวโน้มที่จะแย่ลงอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลังและปีหน้า

โดยการส่งออกครึ่งปีแรกดีเกินจริงเพราะ Front-loading ทำให้ส่งออกโตเกินจริงที่ 10-15% จากผลของการเร่งส่งออกล่วงหน้า จากผู้ประกอบการที่พยายามรีบจัดส่งสินค้าให้เสร็จภายในช่วงเวลาที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน จากการเจรจาภาษีทรัมป์

ทั้งนี้หลังจากนี้จะเริ่มเห็นผลกระทบจากส่งออกรุนแรงขึ้น จากหลายสัญญาณที่สะท้อนการชะลอตัวของส่งออก ทั้งการเช่น ยอดขนส่งสินค้าทางเรือที่ลดลงมากถึง 30% ในเดือนล่าสุด สะท้อนว่าออเดอร์ใหม่เริ่มหายไปอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าห่วงคือ แม้ตัวเลขส่งออกที่ดูแข็งแรง แต่ไม่ได้สะท้อนอุปสงค์ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงการเร่งระบายสต๊อก ทำให้ครึ่งปีหลังจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะชะลอตัวแรง และเข้าสู่โหมดถดถอยอย่างชัดเจน ทำให้โครงสร้างอุปสงค์ต่างประเทศกำลังอ่อนตัว และอาจเห็นภาคการส่งออกติดลบสองหลักได้

“ต้นปีมัน มีปัจจัยจาก Front-loading เยอะ ครึ่งแรกเลยดูดี แต่หลังจากนั้นมันจะวูบ เพราะออเดอร์จริงๆ มันไม่มีแล้ว ดังนั้นอาจเห็นส่งออกครึ่งปีหลังติดลบเกิน 10% ขึ้นไป และลดลงไปถึงไตรมาสแรกปีหน้า”

  • “อีไอซี” ห่วงเสียตลาด-ความสามารถแข่งขัน

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ Economic Intelligence Center (EIC) กล่าวว่า แม้การส่งออกของไทยจะกลับมาเป็นบวกในบางช่วงของปี 2568 แต่อีไอซีมองว่า การฟื้นตัวของการส่งออกไทยยังคงเปราะบาง

โดยส่งออกกลับมาเป็นบวกในช่วงต้นปี ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่ต่ำในปีก่อน ซึ่งหมายความว่า การเติบโตที่เห็นในเชิงเปอร์เซ็นต์อาจไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแรงหรือศักยภาพที่เพิ่มขึ้นของภาคการส่งออกไทยที่แท้จริง

ยิ่งหากดูจากอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศไม่ได้เติบโตตามไปด้วย ยิ่งตอกย้ำว่ายอดส่งออกไม่ได้เกิดจากกำลังการผลิตใหม่ แต่เป็นเพียงการระบายสินค้าคงคลังที่เหลือจากช่วงชะลอตัวก่อนหน้า

ทั้งนี้ หนึ่งในความเสี่ยงที่น่าจับตาคือ นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ หากไทยตกอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจัดเก็บภาษีในอัตราสูงขึ้น เช่น 20-36% ย่อมส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันทันที โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่อาจได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า หรือมีต้นทุนภาษีต่ำกว่า อีกทั้งหากสหรัฐจำกัดการนำเข้าจากประเทศที่มีสินค้าจีนมากขึ้น ผลกระทบต่อการส่งออกไทยกระทบมากขึ้นแน่นอน

ประเด็นที่อีไอซีห่วงคือ แม้ภาพส่งออกตัวเลขดี แต่เหล่านี้สวนทางกับดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ยังทรงตัวหรืออ่อนแรงอยู่ สะท้อนว่าการฟื้นตัวของการส่งออกยังไม่สามารถกระตุ้นการผลิตหรือการลงทุนภายในประเทศได้จริง

ไม่เพียงเท่านั้น การส่งออกในวันนี้ไม่ได้สร้างงาน ไม่ได้กระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ และไม่ได้ต่อยอดไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นอย่างที่ควรจะเป็น เหล่านี้คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่อาจทำให้การฟื้นตัวไม่ยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้จากโครงสร้างซัพพลายเชนโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากทั้งเทคโนโลยี สงครามการค้า และภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทำให้หลายประเทศหันกลับไปพึ่งตนเอง หรือย้ายฐานการผลิตกลับประเทศของตน ทำให้ไทยอาจสูญเสียบทบาทในห่วงโซ่อุปทานโลก

รวมไปถึงในภาวะที่หลายประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม อินเดีย หรือแม้แต่เม็กซิโก กำลังเร่งเครื่องดึงดูดการลงทุนรับกับมาตรฐานใหม่ของโลกได้รวดเร็วกว่าไทย หากไทยไม่เร่งปรับโครงสร้างภาคการผลิต ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเสียพื้นที่ในตลาดส่งออกเดิม และพลาดโอกาสในตลาดใหม่