‘กองทุนหุ้นสหรัฐ’โชว์ผลงานเด่น กลุ่มเทคโนโลยี-เอไอ หนุนดัชนีฯ ‘นิวไฮ’

เปิดโผกองทุนหุ้นสหรัฐสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจเกือบ 25% ตั้งแต่ต้นปี โดยมีปัจจัยหนุนจากกระแสเทคโนโลยี AI และผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดีกว่าคาดการณ์ ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- กองทุนหุ้นสหรัฐสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจเกือบ 25% ตั้งแต่ต้นปี โดยมีปัจจัยหนุนจากกระแสเทคโนโลยี AI และผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดีกว่าคาดการณ์ ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง
- บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี มีความแข็งแกร่งอย่างมากจากกระแส AI ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการออกมาดีเยี่ยมและเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้น
- ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่านักลงทุนสามารถเข้าลงทุนในกองทุนสหรัฐได้ โดยเน้นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่มีหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งยังคงสามารถถือต่อเพื่อรอรับผลประกอบการได้
- กลุ่ม Semiconductor มีผลประกอบการโดดเด่นเป็นพิเศษ หลังจากที่ทรัมป์อนุมัติให้ NVIDIA ส่งออกชิปไปจีนได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เน้นลงทุนในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น AI และโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง
ท่ามกลางความไม่แน่นอน “เศรษฐกิจโลก” แต่ “ตลาดหุ้นสหรัฐ” กลับแสดงสัญญาณเชิงบวกชัดเจน โดยเฉพาะใน “หุ้นกลุ่มใหญ่” ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ดีกว่าคาด และได้รับแรงหนุนจากกระแสเทคโนโลยี AI และการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่ ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ยังคงทำ “จุดสูงสุดใหม่” ต่อเนื่อง การเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นสหรัฐยังอยู่ใน “ขาขึ้น”
ทั้งนี้ กองทุนหุ้นสหรัฐแสดง “ผลตอบแทน” ที่น่าประทับใจตั้งแต่ต้นปี โดยมีผลตอบแทนสูงเกือบ 25% ซึ่ง “กูรู” ด้านกองทุนรวมแนะว่า ในช่วงที่ตลาดหุ้นหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนในกองทุนสหรัฐได้โดยเน้นในกลุ่ม Big Cap ที่มีหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก
“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐแข็งแกร่งจากนโยบายภาษีศุลกากร โดยมูลค่านำเข้าสินค้าต่อปีอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์ หากเก็บภาษี 10% จะได้ 300,000 ล้านดอลลาร์ และหากเก็บ 20% จะได้ 600,000 ล้านดอลลาร์ เป็นเงินจำนวนมหาศาลนี้จะเข้าสู่ระบบ
การเก็บภาษียังช่วยเปิดโอกาสให้สหรัฐเปิดตลาดการค้ากับประเทศอื่น ๆ ได้ด้วย แม้ราคาจะปรับเพิ่มไม่มากนักถึงมือผู้บริโภค เพราะประเทศผู้ส่งออกและบริษัทเอกชนผู้นำเข้าจะต้องแบกรับภาระส่วนหนึ่ง คาดราคาจะส่งผลถึงผู้บริโภคเพียงประมาณ 50% เท่านั้น ทำให้นักลงทุนยังคงสบายใจว่าเงินเฟ้อจะไม่พุ่งสูงมากนัก
ขณะเดียวกัน นโยบายงบประมาณและการลงทุนของประธานาธิบดีทรัมป์ One Big Beautiful Bill แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทรัมป์จะอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมาก เข้าไปในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านต่าง ๆ ซึ่งมีการเปิดเพดานงบประมาณขาดดุลให้สูงขึ้น จะเป็นการทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นตามปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นในระบบ
นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐมีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีจากกระแส AI ยังคงบูมต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีออกมาดีเยี่ยม และบริษัทกลุ่มการเงินหลายแห่งก็มีผลประกอบการที่ดีมากเช่นกัน ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐต่อไป
“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้ข้อมูลว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐมีสาเหตุจากประมาณการผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ปี 2568 ถูกอัปเกรด โดย Bloomberg consensus มีการปรับประมาณการกำไร เพิ่มขึ้นประมาณ 0.6-1.00% ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดมี Upside
นอกจากนี้ การเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการตั้งแต่เดือนก.ค. เป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อน เช่น ภาคการเงินอย่าง โกลด์แมนแซคส์ ได้ประกาศผลประกอบการที่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งช่วยสนับสนุนให้ตลาดยังคงเดินหน้าต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม หุ้นสหรัฐโดยรวม Valuation เริ่มตึงตัว โดยดัชนี S&P 500 มี PE อยู่ที่ประมาณ 22 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนที่ประธานาธิบดี ทรัมป์ จะประกาศมาตรการภาษีตอบโต้และเกิดการปรับฐานในเดือนเม.ย.2568 ดังนั้น Valuation ในโซนปัจจุบันจึงไม่ถือว่าถูก และแม้ Valuation จะตึงตัว แต่ตลาดหุ้นสหรัฐยังมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยขึ้นอยู่กับผลประกอบการของแต่ละกลุ่ม
แนะนำนักลงทุนที่ยังไม่ได้ขายหรือลดพอร์ต โดยเฉพาะผู้ที่ถือ กองทุนที่เป็น Megacap หรือ Big Cap ที่มีหุ้นเทคโนโลยีอยู่มาก ยังคงสามารถถือต่อได้ และอาจพิจารณาจังหวะในการขายหลังจากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/68 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ช่วงก่อนหรือหลังวันที่ 1 ส.ค. ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ส่วนในระยะยาวเน้นกองทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเช่น กองทุนที่ล้อตามดัชนี Russell 2000 ข้อดีคือเป็นหุ้นอเมริกาที่มี Valuation ไม่แพงและยังมี upside ที่ดี
“พรเพ็ญ ชุลีประเสริฐ” ผู้จัดการกองทุนต่างประเทศ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด ให้ข้อมูลเสริมว่า บริษัทในสหรัฐมีผลประกอบการออกมาดีเกือบทุกตัวที่ออกมาโดดเด่น โดยเฉพาะกลุ่ม Semiconductor ได้รับแรงหนุนจากการที่ทรัมป์อนุมัติให้ NVIDIA ส่งออกชิปไปจีนได้ ซึ่งส่งผลให้มีการเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในส่วนของประเด็นทางการเมืองสหรัฐแม้เคยมีความกังวลจากการปราศรัยของทรัมป์ในวันที่ 9 เม.ย. 2568 ที่ทำให้ตลาดปรับตัวลงแรง แต่เชื่อว่าสถานการณ์เลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว และนักลงทุนน่าจะเข้าใจว่าทรัมป์มองธุรกิจและตลาดในเชิงบวก และน่าจะเป็นการเจรจามากกว่า
แม้ตลาดอาจมีพักฐานลงมาบ้าง แต่ถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนมากกว่า นักลงทุนยังสามารถทยอยเข้าซื้อกองทุนได้ แนะนำเน้นกลุ่ม New Economy โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ เช่น AI กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับพลังงานนิวเคลียร์ หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูง เพื่อรองรับ Data Center ของ AI และ กลุ่ม Space ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และควรหลีกเลี่ยงกลุ่มน้ำมันไปก่อน โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจไม่ดี เพราะน้ำมันอาจได้รับผลกระทบ






