‘แอลเอชแบงก์’ เร่งเครื่องธุรกิจ ขึ้นแท่น ’ธนาคารขนาดกลาง‘

“แอลเอชแบงก์” ปักหมุดแบงก์ ขึ้นแท่นสู่ “ธนาคารขนาดกลาง” หลังสร้างการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมเปิด 6 โฟกัส หลังเร่งเครื่องเติบโต
นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Bank กล่าวว่า ในส่วนแผนการดำเนินธุรกิจของธนาคารหลังจากนี้ คือการมุ่งเป็น “ธนาคารขนาดกลาง” จากการเข้าไปโฟกัสมากขึ้นในการเข้าไปเติบโต
ทั้งในส่วนของธุรกิจรายใหญ่ ธุรกิจรายย่อยเอสเอ็มอี โดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอี ที่แบงก์มองว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมากท่ามกลางความเสี่ยงสูง
โดยการมุ่งสู่การเป็น ธนาคารขนาดกลาง นั้นธนาคารจะเน้นใน 6 โฟกัสหลัก ทั้งการเพิ่มความสามารถในการสร้างกำไร การเพิ่มส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) การบริหารอัตราเงินฝาก เงินกู้ และรายได้ค่าธรรมเนียมให้เพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับการเติบโตสินเชื่อ ธนาคารตั้งเป้าปีนี้อยู่ที่ 7-8% ซึ่งยังคงมั่นใจว่าจะเติบโตตามเป้าหมายได้ จากครึ่งปีแรกที่ธนาคารสามารถรักษาโมเมนตัมของการเติบโตสินเชื่อได้ที่ 3.4% โดยแรงขับเคลื่อนหลักๆ มาจากธุรกิจรายใหญ่ รายใหญ่ และสินเชื่อต่างประเทศ
ใหญ่ และสินเชื่อต่างประเทศ
โดยหากดูการเติบโตสินเชื่อในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สินเชื่อรายใหญ่เติบโตแล้ว 6% สินเชื่อรายย่อย 9% และสินเชื่อต่างประเทศ 4% ซึ่งเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ธนาคารยังตั้งเป้าในการรักษาการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อให้ใกล้เคียงกัน ไม่กระจุกอยู่ในพอร์ตใดหนึ่งเกินไป โดยปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 24% เอสเอ็มอี 23% และรายใหญ่ 27% สำหรับภาพรวมการเติบโตสินเชื่อในช่วง 1ปีที่ผ่านมา เติบโตได้ 8.4% แม้อุตสาหกรรมโดยรวมสินเชื่อชะลอตัว
“ผลกระทบจากการลดลง ยอมรับว่ากระทบต่อยิลด์ของธนาคาร ดังนั้น เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการลดลงของ NIM ธนาคารจะต้องเร่งการเติบโตสินเชื่อ และเร่งการบริหารต้นทุนต่างๆ ปรับลดลง เพื่อทำให้ NIM ไม่ลดลงมากในช่วงดอกเบี้ยขาลง”
ส่วนการตั้งสำรองปีนี้มองว่าครึ่งหลังปี 2568 ยังทรงตัวอยู่ระดับสูง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีทรัมป์ และเศรษฐกิจชะลอ รวมถึงความไม่แน่นอนต่างๆ ส่วนภาพรวมหนี้เสีย
ซึ่งธนาคารตั้งเป้าควบคุมไม่ให้เกิน 3% ในปีนี้ โดยหากดู 2 ไตรมาสที่ผ่านมา ธนาคารยังไม่เห็นการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญดังนั้นระดับ 3% น่าจะเป็นระดับที่รักษาไว้ได้
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารให้ความสำคัญอย่างมาก สำหรับการรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ให้อยู่ระดับสูงต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 17.49% แม้ระดับดังกล่าวยังไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กำหนด
และยังสามารถรองรับการลงทุนได้อีกประมาณ 2 ปี แต่บริษัทมองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบัน
ดังนั้น LHFG จึงได้เริ่มหารือกับผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้งสองรายเกี่ยวกับแนวทางการปรับเพิ่มสัดส่วน Free Float ในอนาคต เพื่อรองรับความต้องการของตลาดทุน และเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า แม้จะยังไม่จำเป็นต้องดำเนินการในทันที
การเคลื่อนไหวเชิงรุกในครั้งนี้สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่รอบคอบ และความใส่ใจต่อโครงสร้างการถือหุ้นที่สมดุล
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนรองรับการเพิ่มทุนหลังครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี หากจำเป็น เพื่อเสริมฐานทุนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนรักษาระดับ Free Float ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของบริษัทในสายตานักลงทุน และเพิ่มโอกาสในการเติบโตในตลาดทุนต่อไป







