บวกระยะสั้น แต่ภาระระยะยาว : วิกฤติเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ภายใต้ Trump 2.0

หากไม่มีการปรับสมดุลทางการคลังอย่างจริงจังในระยะใกล้ สหรัฐฯ อาจเผชิญความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในระยะยาว ที่ หนี้สาธารณะที่อาจพุ่งทะลุ 170% ของ GDP ในอีก 30 ปีข้างหน้า และอาจสร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ต้นทุนดอกเบี้ยที่เบียดงบประมาณภาครัฐ ความเชื่อมั่นต่อพันธบัตรที่อาจลดลง และข้อจำกัดในการใช้นโยบายการคลังช่วงวิกฤติ
แม้สหรัฐฯ จะยังคงได้รับการจัดอันดับเครดิตระดับสูงจากสถาบันจัดอันดับชั้นนำของโลก แต่กำลังเผชิญความท้าทายด้านเสถียรภาพทางการคลัง โดยเฉพาะการผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ (budget reconciliation bill) หรือที่รู้จักในชื่อ “One Big Beautiful Bill Act” (OBBBA) ไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นนโยบายภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Trump สมัยที่สอง แม้มีเป้าหมายลดขาดดุลงบประมาณลงเหลือ -3% ของ GDP แต่ข้อเท็จจริงกลับชี้ไปในทิศทางตรงกันข้าม
ตลอดช่วงปี 2015-2024 สหรัฐฯดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลต่อเนื่อง โดยมีระดับขาดดุลเฉลี่ยราว 3-6% ของ GDP ต่อปี ก่อนปรับตัวสูงขึ้นไปที่ระดับ 15% ของ GDP ในปี 2020 จากผลกระทบของวิกฤต COVID-19 และแม้สถานการณ์จะคลี่คลายลง ระดับขาดดุลก็ยังทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 6% ต่อ GDP สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันด้านรายจ่ายที่เรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้หนี้สาธารณะ (Gross Federal Debt) สะสมแตะระดับ 36.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเทียบเท่า 124% ของ GDP
อ้างอิงจากข้อมูลของ Congressional Budget Office ระบุว่า Federal Budget Deficit มีแนวโน้มอยู่ในระดับราว - 6% ของ GDP ต่อเนื่องไปในระยะกลางถึงระยะยาว ซึ่งตอกย้ำข้อจำกัดเชิงโครงสร้างด้านการคลัง โดยเฉพาะในบริบทที่สัดส่วนรายจ่ายบังคับ (Mandatory Spending) เช่น Social Security, Medicare และดอกเบี้ยจ่าย คิดเป็นสัดส่วนรวมกว่า 70-75% ของงบประมาณทั้งหมด ทำให้การจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือปรับลดรายจ่ายโดยรวมทำได้อย่างจำกัด
หนึ่งในแนวทางที่รัฐบาลพยายามผลักดันเพื่อลดรายจ่าย คือการจัดตั้ง “Department of Government Efficiency” (DOGE) โดยมี Elon Musk รับตำแหน่งหัวหน้าทีมในช่วงเริ่มต้น เพื่อผลักดันการปรับลดขนาดภาครัฐและโครงสร้างรายจ่ายประจำ อย่างไรก็ตาม แรงต้านจากฝ่ายนิติบัญญัติและข้าราชการระดับสูง ทำให้ Musk ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งภายในไม่กี่เดือน ขณะเดียวกัน แนวนโยบายในการปรับลดสวัสดิการในหมวด Social Security และ Medicare ซึ่งเป็นภาระผูกพันระยะยาว ก็ยังคงเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง แม้มีศักยภาพในการลดขาดดุลได้ในระดับหนึ่งก็ตาม
ในด้านรายได้ Customs Duties (Tariffs) เป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ของรัฐบาลกลาง แต่มีสัดส่วนเพียง 2-4% ของรายได้รวมต่อปี จึงเป็นเพียงรายได้รองเชิงโครงสร้างการคลัง อีกทั้งยังเป็นนโยบายที่มีลักษณะชั่วคราว แม้จะช่วยเพิ่มรายรับในบางช่วงเวลา แต่ก็ไม่เพียงพอในการรองรับภาระงบประมาณที่เร่งตัวจากรายจ่ายบังคับและภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ดังนั้น หากไม่มีการปรับสมดุลทางการคลังอย่างจริงจังในระยะใกล้ สหรัฐฯ อาจเผชิญความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังในระยะยาว ที่ หนี้สาธารณะที่อาจพุ่งทะลุ 170% ของ GDP ในอีก 30 ปีข้างหน้า และอาจสร้างแรงกดดันต่อเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในแง่ต้นทุนดอกเบี้ยที่เบียดงบประมาณภาครัฐ ความเชื่อมั่นต่อพันธบัตรที่อาจลดลง และข้อจำกัดในการใช้นโยบายการคลังช่วงวิกฤติ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่ออันดับเครดิตและการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่อาจฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม หากไม่มีมาตรการปรับสมดุลรายรับ-รายจ่ายอย่างจริงจัง ความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ ในระยะยาวยังคงจะถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ







