เปิดกำไร 11 ธนาคาร ‘ไตรมาส2-ครึ่งปีแรก 68“ แบงก์ไหนดี-ร่วง?

เปิดผลงาน “11 แบงก์” ไตรมาส 2/68 “กำไรรวม” อยู่ที่ 6.6 หมื่นล้าน ลดลงเฉียด 3% ด้านสำรองหนี้เสียพุ่ง 5.7 หมื่นล้าน พุ่ง 5.32% หลังแบงก์ตั้งรับความเสี่ยง ตั้งสำรองพุ่ง
โดยกำไรรวมในไตรมาส อยู่ที่ 66,238 ล้านบาท ลดลง 2.97% หากเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่กำไรรวมอยู่ที่ 68,269ล้านบาท
โดยแบงก์ที่กำไรลดลงมากที่สุดคือ
- ซีไอเอ็มบีไทย กำไรลดลง 79%
- กสิกรไทยลดลง 9.45%
- กรุงเทพ ลดลง 6.17% หากเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า
ขณะที่แบงก์ที่กำไรยังเติบโต ในไตรมาส2 มากที่สุดคือ
- เกียรตินาคินภัทร ที่กำไรยังเติบโตสูง 32%
- กรุงศรีอยุธยา กำไรเพิ่มขึ้น 10%
ธนาคารที่ทำกำไรสูงที่สุดในกลุ่มในไตรมาส 2 ใน 3 อันดับแรก
- เอสซีบีเอกซ์ กำไรอยู่ที่ 12,786 ล้านบาท
- กสิกรไทย 12,488 ล้านบาท
- ธนาคารกรุงเทพ 11,840 ล้านบาท
ขณะที่ครึ่งปีแรกกำไรโดยรวมอยู่ที่ 134,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.97% หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยธนาคารที่กำไรลดลงมากที่สุดคือ ในครึ่งปีแรก
- ซีไอเอ็มบีไทย กำไรลดลง 73%
- ทีทีบี ลดลง 7.23%
- ทิสโก้ ลดลง 6.27%
ส่วน 3 อันดับที่กำไรเติบโตโดดเด่น หากเทียบ ช่วงเดียวกันปีก่อน
- เกียรตินาคินภัทร ผลงานครึ่งปีแรกยังโดดเด่น โดยเติบโตถึง 83%
- เอสซีบีเอกซ์ กำไรเพิ่มขึ้น 27.68%
- ไทยเครดิตเพิ่มขึ้น12.80%
ธนาคารที่มีกำไรมากที่สุดของกลุ่มในครึ่งปีแรก 3 อันดับแรก
- กสิกรไทย กำไรครึ่งปีแรกอยู่ที่ 26,280 ล้านบาท
- เอสซีบีเอกซ์ 25,288 ล้านบาท
- กรุงเทพ 24,458 ล้านบาท
ด้านสำรองหนี้เสีย ไตรมาสนี้โดยรวมอยู่ที่ 57,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.32% หากเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลง 8.73 %จากช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยธนาคารที่มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นสูงในไตรมาส 2 ใน 3 อันดับแรก คือแลนด์แอนด์เฮ้าส์ สำรองเพิ่มขึ้น 72% ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 39% ธนาคารทิสโก้สำรองเพิ่มขึ้น 44.94% หากเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568
และหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน พบว่าหลายแบงก์สำรองหนี้เสียเพิ่มขึ้น เช่น ซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 113 % ทิสโก้เพิ่มขึ้น 39%
ขณะที่หลายแบงก์สำรอง ลดลงหากเทียบกับปีก่อน อาทิ เกียรตินาคินภัทร สำรองลดลง 45% ไทยเครดิตสำรองลด 28.99% ทีทีบีลดลง 18.69%
ส่วนการตั้งสำรอง ครึ่งแรกโดยรวมอยู่ที่ 112,313 ล้านบาท ลดลง 8.97%จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารมีธนาคารที่สำรองเพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ ซีไอเอ็มบีไทย สำรองเพิ่มขึ้น 86% ทิสโก้สำรองเพิ่มขึ้น 39%
ขณะที่หลายแบงก์สำรองลดลง หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อาทิ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ลดลง 40% ไทยเครดิต 36% กรุงศรี ลดลง 15.82%
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยืดเยื้อ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้ความสำคัญกับการช่วยประคับประคองลูกหนี้ทุกกลุ่ม ผ่านคุณสู้เราช่วย และเตรียมช่วยเหลือเพิ่มเติมในคุณสู้เราช่วยระยะที่ 2 เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมีโอกาสฟื้นตัวได้
สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่สองปี 2568 ของบริษัทยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการให้เกิดแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ส่งผลให้การก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
นอกจากนี้ บริษัทได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาอย่างเป็นทางการ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการจัดตั้ง บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในระยะยาว
สำหรับ SCB มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ 12,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และครึ่งแรกของปี 2568 บริษัท มีกำไรสุทธิจำนวน 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากปีก่อน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น การตั้งสำรองที่ลดลง และ การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยทั้งนี้ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,530 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 40.2% ทั้งนี้บริษัทตั้งสำรองลดลง 13.0% จากปีก่อน เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ในด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพ ในไตรมาส2 อยู่ที่ 3.31% ลดลง จาก 3.34% จากปีก่อน
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายของปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศที่มีความเสี่ยงสูง รวมทั้งความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบต่อลูกค้าผู้ฝากเงิน ผู้ลงทุน ที่ครอบคลุมถึงลูกค้าบุคคลและลูกค้าธุรกิจด้วยการดูแลช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
ตลอดจนการส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น ผ่านการเดินหน้าตามยุทธศาสตร์ 3+1 และการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Productivity) อย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12,488 ล้านบาท ลดลง 9.45% หลัก ๆ จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงตามภาวะตลาด และการลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้
นอกจากนี้ ยังได้พิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 10,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 232 ล้านบาท หรือ 2.36% และครึ่งปีที่ธนาคารได้ตั้งสำรองอยู่ที่ 19,868 ล้านบาทตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สำรองฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม รองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์ในอนาคต
ทั้งนี้ ด้านหนี้เสียอยู่ที่ระดับ 3.18% ซึ่งยังคงต้องดำเนินการติดตามคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวังใกล้ชิดในภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 162.77%
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ทำให้ทีทีบีเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบมาโดยตลอดทั้งนี้สิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ คือการดูแลลูกค้า การเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น และการดูแลคุณภาพหนี้ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง กล่าวว่า ภาพรวมกำไรกลุ่มแบงก์ไตรมาส 2 ปี 2568 ถือว่าดีกว่าที่คาดเฉลี่ย 7% สำหรับ KBANK และ TTB ถือว่าตามคาด ส่วน SCB ดีกว่าคาด 17% , KKP ดีกว่าคาด 26%, BBL ดีกว่าคาด 7% และ TISCO ดีกว่าคาด 6% โดยปัจจัยสนับสนุนทำให้ภาพรวมดีกว่าคาดมาจากกำไรเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง ขณะที่สัดส่วน NPLทรงตัวหรือเพิ่มเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เรายังคงประมาณการเดิมสำหรับกำไรกลุ่มแบงก์ทั้งปีนี้ ลดลง 7% จากปีก่อน (YoY) ขณะที่ตลาดคาดปรับลดลง 2% จากปีก่อน เพราะว่า ตลาด ยังคงระมัดระวังภาพรวมในไตรมาส 3 ปีนี้ ที่จะเริ่มรับรู้ผลกระทบภาษีทรัมป์ และธนาคารยังคงประเมินแนวโน้มการปรับลงดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในครึ่งหลังของปีนี้
นายพิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กลุ่มแบงก์ไตรมาส 2 ปี 2568 ของกลุ่มแบงก์ที่ประกาศออกมาแล้ว ส่วนของกำไรดีกว่าคาด จากกำไรเงินลงทุนเป็นหลัก แต่ จะมีแค่ส่วนของ KKP ที่ดีขึ้นในหลายจุด
สำหรับแนวโน้มภาพไตรมาส 3 ปี 2568 ของกลุ่มแบงก์ มองน่าจะยังอ่อนตัวลงจาก ไตรมาส 2 ปี 2568 จาก NIM ที่ยังลดลงต่อ และสินเชื่อที่หดตัวลง ซึ่งทุกธนาคารน่าจะยังคุมการปล่อยสินเชื่อแบบเข้มงวด ส่วนคุณภาพสินทรัพย์คาดจะเห็นการอ่อนตัวลงต่อเนื่อง และ credit cost น่าจะเพิ่มขึ้น แต่คาดกำไรที่ทำไว้ตอนนี้น่าจะดี และอาจจะมีปรับเพิ่มในบางตัวที่งบออกมาดี







