ส่องวัฏจักรโลกผ่านมุมมองของ Ray Dalio และนัยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

แนวคิดของ Ray Dalio ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีเชิงเศรษฐศาสตร์ หากแต่เป็นกรอบแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยให้เข้าใจเส้นทางและวัฏจักรแห่งความรุ่งเรืองและความล่มสลายของประเทศ ท่ามกลางบริบทของไทยในปัจจุบันที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม การวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยในระยะยาวควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเติบโตอย่างมีผลิตภาพ
ในยุคที่โลกเผชิญกับความผันผวนอย่างหนักทั้งจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การเร่งขึ้นของหนี้สาธารณะทั่วโลก ตลอดจนการทวีความรุนแรงจากประเด็นด้านภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้การทำความเข้าใจวัฏจักรเศรษฐกิจและปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อความรุ่งเรืองหรือล่มสลายของประเทศต่าง ๆ กลายเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากในระยะหลัง โดยหนึ่งในนักคิดที่มีอิทธิพลอย่างมากในประเด็นดังกล่าวคือ Ray Dalio (เรย์ ดาลิโอ) ผู้เขียนหนังสือ “The Changing World Order” ซึ่งนำเสนอหลักการวิเคราะห์วัฏจักรเศรษฐกิจไว้อย่างน่าสนใจ
Ray Dalio ได้วิเคราะห์ว่ารูปแบบวัฏจักรของมหาอำนาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ตลอดช่วง 500 ปีที่ผ่านมา โดยนำเสนอทฤษฎีที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกผ่านแนวคิดเรื่อง “วัฏจักรใหญ่” หรือ Big Cycle ซึ่งอธิบายว่าประเทศมหาอำนาจจะผ่านช่วงเวลาของความรุ่งเรืองและเสื่อมถอยตามรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างเป็นแบบแผน และได้หยิบยก 7 ตัวชี้วัดหลักในการประเมินวัฏจักรอำนาจโลก ได้แก่ การศึกษา นวัตกรรม การค้า ผลผลิต อำนาจทางทหาร ตลาดทุน และความแข็งแกร่งของสกุลเงิน โดยประเทศที่เป็นมหาอำนาจในอดีตอย่างเช่น เนเธอร์แลนด์ (ดัตช์) สเปน หรืออังกฤษ ล้วนแล้วแต่เคยมีช่วงเวลารุ่งโรจน์และตกต่ำตามวัฏจักรที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ ประเทศนั้น ๆ มักจะเริ่มต้นจากการมีความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจและสังคมในหลาย ๆ มิติ ผนวกกับภาวะผู้นำที่เข้มแข็งของผู้นำประเทศ จนนำพาประเทศไปสู่จุดรุ่งเรืองสูงสุด ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเสื่อมถอยจากปัจจัยภายในประเทศ เช่น หนี้สินสูง ความเหลื่อมล้ำและความขัดแย้งทางสังคม จนทำให้เกิดการปรับโครงสร้างเป็นระเบียบโลกใหม่ และจะนำไปสู่การเริ่มต้นของวัฏจักรใหม่อีกครั้งตามกลไกเหตุและผลที่ใกล้เคียงเดิม
แน่นอนว่า หนึ่งในปรากฏการณ์ที่เห็นมาตลอดในช่วงหลายทศวรรษ หนีไม่พ้นการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของจีนในช่วงเวลาเดียวกับที่เริ่มเห็นการเสื่อมมนต์ขลังทางอำนาจของสหรัฐอเมริกา Ray Dalio กล่าวว่า การผงาดขึ้นของจีนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นไปตามกลไกวัฏจักรใหญ่เมื่อสหรัฐฯ เข้าสู่ช่วงปลายของวัฏจักร และกำลังถูกท้าทายโดยประเทศที่กำลังขึ้นมาใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ ความแตกแยกทางอุดมการณ์ในสหรัฐฯ การประท้วงใหญ่ในยุโรป และภาระหนี้ภาครัฐและเอกชนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ล้วนกำลังบั่นทอนศักยภาพเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง โดยเฉพาะความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ความขัดแย้งด้านการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี และการช่วงชิงอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ที่จะนำไปสู่วัฏจักรใหม่และการเปลี่ยนสมดุลอำนาจโลกที่กำลังดำเนินอยู่
ทั้งนี้ หากนำตัวชี้วัดของ Ray Dalio มาเป็นมาตรวัดความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยแล้ว กลับพบสิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก เนื่องจากตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระดับที่ไม่หวือหวานักเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างมาก (โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน) การค้าระหว่างประเทศที่เติบโตตามกระแสโลกาภิวัฒน์ ตลอดจนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอยู่บ้าง แต่ในเวลาเดียวกันไทยก็กำลังเผชิญกับปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายอย่างที่เริ่มกดดันศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น การเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็วและกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญด้านกำลังแรงงาน กำลังซื้อที่มีความเปราะบางจากหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจนแตะระดับสูงในภูมิภาค
ขณะเดียวกัน ไทยก็ยังขาดการพัฒนาด้านศักยภาพของประเทศเพื่อก้าวสู่ยุคของความรุ่งเรืองตามหลักคิดของ Ray Dalio ในหลายมิติเช่นกัน เช่น ความสามารถในการสร้างผลิตภาพ (Productivity) ค่อนข้างต่ำ การพัฒนานวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขันทางเทคโนโลยีที่เชื่องช้า หนี้สาธารณะที่แม้จะอยู่ในระดับที่จัดการได้แต่ก็มีข้อจำกัดมากขึ้น ตลอดจนประเด็นเรื่องเสถียรภาพด้านการเมือง ปัญหาคอร์รัปชันและระบบราชการที่ซับซ้อนซึ่งมักถูกมองว่าเป็นอุปสรรคต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
มองไปข้างหน้า แม้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤตต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพลวัตด้านเศรษฐกิจและสังคมมานับครั้งไม่ถ้วน แต่แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวกลับอยู่ในทิศทางขาลงอย่างต่อเนื่อง และหากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญกับภาวะ “โตต่ำเรื้อรัง” (Secular Stagnation) ซึ่งนั่นหมายความว่า ไทยอาจหลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลางได้ล่าช้ากว่าเป้าหมายเดิมหรือราวปลายทศวรรษที่ 20 และกล่าวได้ว่า ประเทศไทยในอีก 10 ปีข้างหน้าจะยังไม่สามารถหลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลางขั้นสูง (หรือประเทศที่มีรายได้ต่อหัวต่อปีไม่เกิน 13,845 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.6 แสนบาท) ได้เลย ในขณะที่ประเทศรอบข้างอย่างเช่น มาเลเซียและเวียดนาม กลับมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและเริ่มแซงหน้าไทยไปแล้วในหลายมิติ
สรุปแล้ว แนวคิดของ Ray Dalio ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีเชิงเศรษฐศาสตร์ หากแต่เป็นกรอบแนวคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่ช่วยให้เข้าใจเส้นทางและวัฏจักรแห่งความรุ่งเรืองและความล่มสลายของประเทศ ท่ามกลางบริบทของไทยในปัจจุบันที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านด้านโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม การวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทยในระยะยาวควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเติบโตอย่างมีผลิตภาพ (Productivity-driven Growth) การปรับตัวเชิงรุกในทุกมิติเพื่อไม่ตกขบวนวัฏจักรใหม่ของโลกที่กำลังจะมาถึง เพื่อให้ไทยมีโอกาสที่จะเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่พัฒนาและยั่งยืนขึ้น พร้อมรับมือความผันผวนของระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคงกว่าเดิม







