‘ไทยพาณิชย์’ เปิดกลยุทธ์รุกโต 3 ธุรกิจ ลดต้นทุน - เพิ่มรายได้ค่าฟี

‘ไทยพาณิชย์’ เปิดกลยุทธ์รุกโต 3 ธุรกิจ ลดต้นทุน - เพิ่มรายได้ค่าฟี

"ไทยพาณิชย์" เปิดกลยุทธ์ลุยธุรกิจ มุ่งโตใน 3 ธุรกิจหลัก บ้าน-เวลธ์-ประกัน-ธุรกิจรายใหญ่ มุ่งเพิ่มรายได้ค่าฟี พร้อมลดต้นทุนธุรกิจลดต่อเนื่อง ผ่านการใช้ดิจิทัล 

นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า มองว่าเศรษฐกิจไทยใน 18 เดือนจากนี้ จะยังคงเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง จาก 3 โจทย์ใหญ่ คือ ทั้งการเจรจาภาษีทรัมป์ เศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำลงปีนี้ไม่เกิน 1.5% และหนี้ครัวเรือนสูงใกล้ 70% 

ดังนั้น บนความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยที่ต้องเผชิญแบงก์ก็ต้องปรับตัว และเข้าไปช่วยลูกค้าทุกภาคส่วน ในมุมของธนาคารพาณิชย์เองมี 3 ด้านหลักที่ต้องให้ความสำคัญ 1.การปรับตัว โดยการบริหารความมั่นคงของธนาคารอย่างรอบคอบ ไม่ทำอะไรเสี่ยงเกินตัว ช่วยลูกค้าให้รอดมากที่สุด 

2.มุ่งทำความเก่งที่มีอยู่ให้มากขึ้น ดังนั้นแต่ละแบงก์จะกลับมาดูว่าธุรกิจหลักอะไรที่เรามีความเชี่ยวชาญจะหันมาทำมากขึ้น 

3.ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยพาณิชย์มีการนำร่องทำมาโดยตลอด

ส่งผลให้ปัจจุบันอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (Cost to Income Ratio หรือ CIR) ของธนาคารลงมาอยู่ที่ 36.8% ได้ในไตรมาส 1 ปี 2568  และสามารถรักษาอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE)อยู่ที่ระดับ 11.7 % โดยเป้าหมายสำคัญของ ไทยพาณิชย์ คือ รักษาระดับ ROE ให้เกินระดับ 2 หลักได้อย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ในด้านกลยุทธ์ครึ่งปีหลังภายใต้เศรษฐกิจที่เผชิญความท้าทาย สิ่งที่ไทยพาณิชย์ต้องทำคือ

1.ทำให้บ้านเราเข้มแข็งขึ้น ด้วยการเติบโต 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสินเชื่อขนาดใหญ่ ธุรกิจเวลธ์ แมเนจเม้นท์ รวมถึงประกัน และธุรกิจค่าธรรมเนียมต่างๆ ทั้ง 3 ธุรกิจหลักเชื่อว่ายังสามารถเติบโตต่อได้ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว 

“ในครึ่งปีหลังตัวที่จะขับเคลื่อนธนาคารเป็นหลัก จะมาจาก สินเชื่อรายใหญ่ สินเชื่อบ้าน เวลธ์ รวมถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เรายังเชื่อว่าสามารถเติบโตได้ ในส่วนพนักงานเน้นให้กระชับพื้นที่มากขึ้น มุ่งเน้นการทำงานหลัก ไม่ทำหลายอย่าง แต่เลือกทำบางอย่างให้ดีที่สุด และเราจะเป็นธนาคารที่จะตอบโจทย์ลูกค้าวางแผนธุรกิจ และตอบโจทย์ในระยะยาว การวางแผนทางการเงิน และความมั่งคั่ง"

ด้านที่ 2. ทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยการตั้งเป้ารายได้จากดิจิทัล​ หรือ Digital Revenue 25% , และตั้งเป้าเพิ่มอัตราการบริการผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ด้วยการปรับจากช่องทางออฟไลน์เป็นออนไลน์เพิ่มขึ้น ควบคู่กับแผนในการลดขนาดองค์กร และเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร เพื่อให้ทนต่อแรงกระแทกที่จะเกิดขึ้น ใน 6-18 เดือนข้างหน้า ภายใต้การประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะมีความผันผวน และท้าทายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นวันนี้สิ่งที่เราคือ การเร่งผลักดันการทำธุรกรรมต่างๆ ให้เป็นที่ยอมรับ และสามารถให้บริการอย่างกว้างขวางได้ บน SCB EASY

 "จำนวนสาขายังคงมีโอกาสทยอยลดลงตามความเหมาะสมจากปัจจุบันที่มีอยู่ 800 สาขา เพราะลูกค้าใช้บริการผ่านสาขาลดลง ดังนั้นถ้าทำได้ จำนวนสาขาก็อาจไม่ต้องมี ถึง 800 สาขา อาจจะมี 450 สาขาก็เพียงพอ อันนี้แค่ยกตัวอย่าง เพราะมองว่า 450 สาขา ก็ถือว่าเพียงพอที่จะทำให้เราทำ wealth management แล้ว ดังนั้นโจทย์ของผมแทนที่จะเป็นการหารายได้ทางดิจิทัล แต่จะเป็นการย้ายบริการจากออฟไลน์สู่ดิจิทัลให้มากขึ้น แต่ไม่มีวันที่ไทยพาณิชย์จะไม่มีสาขา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าจุดนี้คงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น"

สุดท้าย ด้านที่ 3. ที่เราต้องกลับมาดูแลแนวทางในการบริหารโครงการของธนาคาร ยึดหลัก 80 : 20 โดยสิ่งที่สำคัญ 20% และ 80% ต้องติดตามใกล้ชิด บริการติดตามข้อมูลทุกเดือนพร้อมปรับตัว เป็นสิ่งที่เราได้สื่อสารกับพนักงานทุกคนมาแล้วตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์