‘ปิติ’ ห่วงไทยถูกเก็บภาษี 36% กระทบไทยรุนแรง ทุบ ‘แรงงาน-ลงทุน’ สูญ 1.23 ล้านล้าน

‘ปิติ’ ห่วงไทยถูกเก็บภาษี 36% กระทบไทยรุนแรง ทุบ ‘แรงงาน-ลงทุน’ สูญ 1.23 ล้านล้าน

“ปิติ” ชี้ไทยถูกเก็บภาษี36% อาจสูญเสียกว่า 1.23 ล้านล้านบาท แนะสารภาพ การยกเว้นภาษีสหรัฐ อาจกระทบจำกัด 0.2% ของรายได้รัฐ

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต โพสต์ผ่าน Facebook ส่วนตัวว่า 

  • Prisoner’s Dilemma - เมื่อเพื่อนชิงสารภาพ ภาษี 36% จะเป็นความหายนะของประเทศไทย

ทำไมภาษี 36% จึงจะก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก  

  • ผลกระทบทางตรง ที่จะเกิดขึ้นทันที

1st Order Impact: ผลกระทบต่อสินค้า และอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐ

 • สินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐมากที่สุด เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องประดับ และยาง หากถูกตั้งภาษีสูงถึง 36% ซึ่งสูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม (20%) และ อินโดนีเซีย (19%) ไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อย่างรุนแรง โดยเฉพาะสินค้าที่สหรัฐ นำเข้าจากหลายประเทศ เช่น โทรศัพท์, คอมพิวเตอร์, ชิ้นส่วนรถยนต์

  • 2nd Order Impact: ผลกระทบต่อซัพพลายเชนในประเทศ

 • สินค้าส่งออกเหล่านี้มี supply chain ในประเทศที่ซับซ้อน เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรงงานและผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศจำนวนมาก
 • คาดว่าจะสูญเสียรายได้ในอุตสาหกรรมรวมกันถึง 497,000 ล้านบาท จากผลกระทบทางอ้อมใน supply chain

  • 3rd Order Impact: ผลกระทบต่อแรงงานและการบริโภคภายในประเทศ

 • คาดว่าจะมี แรงงานสูญหายกว่า 1 ล้านคนภายในปี 2028 ส่วนใหญ่ในภาคการผลิต เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และยาง
 • การบริโภคในประเทศลดลงจากการว่างงานและรายได้ลดลง เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคอย่างกว้างขวาง
 

  • ผลกระทบในระยะกลางและระยะยาว

ประเทศไทยไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองต้องอาศัยการลงทุนจากต่างประเทศขับเคลื่อน (FDI) ดังนั้นถ้าภาษีที่สหรัฐคิดจากไทยสูงกว่าคู่แข่ง เราจะ

1. สูญเสียความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
 • หากไทยถูกตั้งภาษี 36% ขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามหรืออินโดนีเซียได้อัตราที่ดีกว่า ไทยจะตกอันดับในห่วงโซ่การผลิตโลก และอาจถูกมองว่าเป็น “ประเทศที่เสี่ยง” สำหรับการลงทุน

2. การดึงดูด FDI ลดลงไปอีก
 • ไทยเสียเปรียบมากขึ้นในการแข่งขันดึงดูด FDI เมื่อเทียบกับเวียดนามที่มี FDI เพิ่มสูงกว่าไทยถึง 15 เท่า ตั้งแต่ปี 2015
 • กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และอาหารแปรรูป ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทย อาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้สิทธิภาษีที่ดีกว่าจากสหรัฐ

  • ทำไมควรสารภาพตาม

ผลกระทบจากการ “ลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ” จริงๆ แล้วน้อย และอาจเป็นผลดีด้วยซ้ำ

  • ผลกระทบทางลบมีจำกัด

 • หากไทย ยกเว้นภาษีนำเข้าสหรัฐ ทั้งหมด จะสูญเสียรายได้จากภาษีเพียง 35,900 ล้านบาท/ปี คิดเป็นเพียง 0.2% ของรายได้ภาครัฐ
 • สินค้านำเข้าสหรัฐ ส่วนใหญ่มีภาษีนำเข้าต่ำอยู่แล้ว และมีปริมาณการนำเข้าไม่สูงนัก

  • ผลบวกที่อาจเกิดขึ้น

1. ลดต้นทุนอาหารสัตว์ - เพิ่มความสามารถแข่งขันของอาหารแปรรูป
 • ข้าวโพดจากสหรัฐ ราคาถูกกว่าเมียนมา และลาวถึง 14%
 • การนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐ จะช่วยลดต้นทุนอาหารสัตว์ลงถึง 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้สินค้าแปรรูปไทย (เช่น ไก่ หมู อาหารสัตว์เลี้ยง) แข่งขันได้ดีขึ้นในตลาดโลก
 • ลดแรงจูงใจในการปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูง ลดปัญหา PM2.5 จากการเผาในภาคเหนือ และจากประเทศเพื่อนบ้าน

2. นำเข้ายา และเวชภัณฑ์ราคาถูกลง
 • สินค้ากลุ่มยา เครื่องมือแพทย์จากสหรัฐ มีราคาถูกลง อาจส่งผลดีต่อสวัสดิการรัฐ และการรักษาโรค
 • ไม่กระทบผู้ผลิตในประเทศ เพราะยังผลิตสินค้าคนละกลุ่ม (low-end vs high-end)

สรุป

การให้ภาษี 0% และยกเลิก โควตานำเข้า ย่อมมีผู้เสียผลประโยชน์ แต่โดยรวมแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยดำดิ่งไปมากกว่านี้ และจะส่งผลบวกในระยะยาว

 • ภาษี 36% จากสหรัฐ จะกระทบไทยรุนแรงแบบลูกโซ่ ทั้งอุตสาหกรรม แรงงาน และการลงทุน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.23 ล้านล้านบาท

 • ในขณะที่การลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐ สร้างผลกระทบต่อรายได้รัฐเพียงเล็กน้อย แต่ได้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจและสังคมกลับมามากกว่า

ขอเป็นกำลังใจให้ทีมเจรจาสามารถก้าวข้าวผลประโยชน์และการสูญเสียเฉพาะกลุ่ม เพื่อ ให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ในองค์รวมของประเทศชาติครับ

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์