'บุรินทร์' เตือนไทยต้อง 'ปรับโครงสร้าง' รับศึกโลก เยียวยาอาจไม่ช่วย ถ้าแข่งขันไม่ได้

'บุรินทร์' เตือนไทยต้อง 'ปรับโครงสร้าง' รับศึกโลก เยียวยาอาจไม่ช่วย ถ้าแข่งขันไม่ได้

'บุรินทร์' เตือนไทยกำลังเผชิญศึกหนัก บนความอยากเป็นที่หนึ่งของทรัมป์ แนะฉวยโอกาสท่ามกลางวิกฤติปรับโครงสร้างในประเทศ เยียวยาไม่พอต้องช่วยสร้างงาน สร้างคน

'บุรินทร์' เตือนไทยต้อง 'ปรับโครงสร้าง' รับศึกโลก เยียวยาอาจไม่ช่วย ถ้าแข่งขันไม่ได้ นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวในงาน เสวนาโต๊ะกลม "Roundtable: The Art of (Re)Deal" ว่า ในมุมของนโยบายภาษี “ทรัมป์” มองว่าสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องมองมากขึ้นคือ ภายใต้ America First ของสหรัฐอเมริกา คืออเมริกาต้องมาก่อน และภายใต้ความต้องการลดทอนบทบาทจากจีนของสหรัฐ ดังนั้นเชื่อว่าประเทศในเซาท์อีสเอเชียจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน และอาจโดนหนัก 

ภายใต้ความต้องการสร้างห่วงโซ่อุปทานลาตินอเมริกาของสหรัฐ ที่โดนภาษีเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 10% สะท้อนว่าสหรัฐอาจไม่ได้สนใจที่จะให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอีกต่อไป ในขณะที่ประเทศไทยกำลังมองเพียงแข่งขันกับเวียดนามที่มีภาษีสูงกว่าไทย 10% หรือมาเลเซีย 10% แต่ในภาพใหญ่สหรัฐอาจ “ไม่เอาเซาท์อีสเอเชียแล้ว” 

ดังนั้นประเทศไทย ควรต้องใช้จังหวะเวลานี้ในการปรับโครงสร้างของประเทศ เพราะหากย้อนดูเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยมีปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะในภาคส่วนหลักอย่างการท่องเที่ยว และการส่งออก ที่ยังน่ากังวล 

ดังนั้นแม้จะมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น ซอฟต์โลน (Soft loan) ก็อาจไม่สามารถช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้เสรี เพราะหากดูตัวอย่างในสหรัฐ ที่เคยให้ซอฟต์โลนแก่บริษัทโซลาร์ในรัฐแคลิฟอร์เนียประมาณ 500 กว่าล้านดอลลาร์ แต่บริษัทดังกล่าวก็ยังคงล้มละลายภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี เหล่านี้สะท้อนว่าการเยียวยาที่รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการอยู่นั้นจะยั่งยืนหรือไม่ หรือช่วยธุรกิจได้จริงหรือไม่

 

นอกจากนี้หลายธุรกิจไทย ยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันลดน้อยลง ซึ่งนำไปสู่ความท้าทายมากขึ้น หากต้องเผชิญกับการแข่งขันอย่างแท้จริง ธุรกิจเหล่านี้อาจจะสู้ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่เป็นคำถามคือ การช่วยเหลือจะต้องช่วยไปอีกนานแค่ไหน 

แต่ขณะเดียวกัน มองว่าโมเดลการช่วยเหลือในต่างประเทศ หลายโมเดลที่ประสบความสำเร็จ อย่างในจีนที่มีการให้ซอฟต์โลน การสนับสนุนด้านการวิจัย และพัฒนา (R&D) และความช่วยเหลือในรูปแบบอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการแข่งขันกันเองอย่างเข้มข้นจนจีนกลายมาเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ และแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งส่งผลให้บริษัทจีนแข็งแกร่งขึ้น และกลายเป็นผู้นำของโลก

ดังนั้นมองว่า หากรัฐบาลไทยจะใช้ซอฟต์โลนในการช่วยเหลือ และเยียวยา ควรเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งในที่สุดแล้วจะต้องสามารถแข่งขันได้ หรือมีการแข่งขันภายในประเทศด้วยตนเอง ไม่ควรให้ความช่วยเหลือไปเรื่อยๆ เหมือนที่เคยทำกับภาคเกษตรของไทย 

ซึ่งมองว่าเป็นการช่วยเหลือที่ไม่มีวันจบสิ้น เปรียบเสมือน “น้ำซึมบ่อทราย” ที่ทำให้เกษตรกรยังคงยากจน และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ได้

 

ไทยอยู่ในสถานะเปรียบเปรียบเวียดนาม

ในด้านภาษี “ทรัมป์” วันนี้หากเทียบกับเวียดนาม ไทยกำลังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด หากนักลงทุนต่างชาติจะเลือกมาลงทุนในภูมิภาคนี้ และต้องเลือกระหว่างไทยกับประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม ซึ่งอาจโดนภาษี 20% ขณะที่ไทยโดน 36% มาเลเซีย 25% และสิงคโปร์ 10% เหล่านี้ทำให้ประเทศไทยอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม หากดูผลกระทบด้านการส่งออก อาจจะยังไม่ชัดเจนมากนักในปีนี้ เพราะมีการส่งออกล่วงหน้า ไปเกือบหมดแล้ว และคาดว่าครึ่งหลังของปีการส่งออกอาจจะติดลบ แต่ผลกระทบที่แท้จริงจะปรากฏในระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านเม็ดเงินลงทุนที่นักลงทุนกำลังรออยู่ ทำให้นักลงทุนอาจเกิดความไม่มั่นใจ และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลงทุน และโครงการซื้อขนาดใหญ่ชะงักงันหลังจากนี้

สำหรับประเทศไทย ไม่เฉพาะผลกระทบภาษีทรัมป์เท่านั้น แต่ประเทศไทยยังไม่สามารถทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป (EU) ได้ ซึ่งทำให้ไทยยิ่งเสียเปรียบมากขึ้น

นอกจากนี้มองว่า ไม่เพียงแต่ประเด็นด้านภาษีทรัมป์ ที่ต้องน่ากังวล แต่ประเทศไทยยังมีประเด็นที่น่ากังวล เกี่ยวกับประเด็นที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff) ที่สหรัฐให้ความสนใจ ซึ่งหนึ่งด้านที่เป็นอุปสรรคสำหรับไทยคือ ไยถูกมองว่า พิธีการทางศุลกากรของไทยที่สหรัฐยุ่งยาก ซับซ้อน และอาจนำไปสู่การคอร์รัปชันได้ ดังนั้นครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถปรับปรุงได้ ไม่ใช่เพื่อสหรัฐเท่านั้น แต่เพื่อทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าลงทุนสำหรับทั้งนักลงทุนต่างชาติ และในประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งที่น่ากังวลคือ ประเทศไทยเริ่มมีความสำคัญน้อยลงในเศรษฐกิจโลก ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจของไทยคิดเป็นประมาณ 1% ของโลก และการส่งออกก็อยู่ที่ 1% กว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่สหรัฐไม่ได้มองว่าประเทศไทยมีความสำคัญมากนักในการเจรจา

“ด้วยเหตุนี้เราต้องทำให้ตัวเองสำคัญ และต้องใช้ วิกฤติให้เป็นโอกาสเพื่อนำไปสู่การแก้ไข และปฏิรูปประเทศในหลายด้าน ทั้งปฏิรูปภาคเกษตร ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างจริงจังหรือปฏิรูปการศึกษา เพื่อผลิตแรงงานที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นนโยบายระยะยาว”

นอกจากนี้มองว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทย ต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย ทั้งภาคเกษตรกรรม และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ภาคเกษตรกรรมไม่ควรถูกละทิ้ง และควรหาวิธีช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อไม่ให้วนอยู่ในวังวนเดิมๆ นอกจากนี้มองว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเยียวยาคือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ควบคู่กับการลดข้อจำกัดต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งจากปัจจุบันที่ไทยมีแรงงานที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าที่อื่น เช่น เวียดนามที่มีการลดจำนวนบุคลากร ดังนั้นควรมีการ Digitalization ของภาครัฐ อย่างจริงจัง ควรทำให้ทุกอย่างเป็น One-stop service เพื่อลดระบบราชการที่ยุ่งยาก ลดการคอร์รัปชัน และลดการเอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวก

รวมถึงการแก้ปัญหากิโยติน Guillotine อย่างจริงจัง ซึ่งหมายถึงการปฏิรูป และตัดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นออก

สิ่งที่สำคัญคือ การส่งเสริมการแข่งขัน และนวัตกรรม  จำเป็นต้องมีการแข่งขันให้มากขึ้น เพราะหากไม่มีการแข่งขัน ผู้ประกอบการไทยที่ได้รับใบอนุญาตหรือใบอนุญาตโดยไม่ต้องแข่งขันกับใคร ก็จะไม่มีนวัตกรรม

เพราะการขาดการแข่งขันเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งประเทศ เนื่องจากธุรกิจไทยหลายแห่งยังคงทำเรื่องซ้ำๆ กัน และมักจะรับจ้างผลิตหรือเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain เท่านั้น โดยไม่มีแบรนด์ของตัวเอง

อีกทั้งมองว่าปัจจุบัน ธุรกิจขนาดใหญ่ของไทยอาจถูกปกป้องมากเกินไป ทำให้ไม่มีนวัตกรรมเกิดขึ้น

ดังนั้นรัฐบาลควรพิจารณาการสนับสนุนในรูปแบบ Venture Capital สำหรับผู้ที่มีแนวคิดที่ดี พร้อมกับการสนับสนุนด้านกฎระเบียบ และด้านการเงิน เพื่อให้สามารถสร้างธุรกิจได้จริง

รวมไปถึง การเปิดการแข่งขันอย่างยั่งยืน เพื่อให้ธุรกิจไทยสามารถแข่งขันกับธุรกิจต่างชาติได้ ไม่ใช่เพียงเพราะรัฐบาลอุ้มไว้

สำหรับมุมมองค่าเงินบาท มองว่า สาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสวนทางกับพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นเพราะขาดการลงทุน แม้ว่าจะมีเงินออมของประเทศจำนวนมาก แต่ไม่มีที่ให้ลงทุน ทุกคนเริ่มหมดไอเดีย

ดังนั้นหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ไปสักพัก ค่าเงินบาทก็จะอ่อนค่าลงได้ ปัจจัยที่อาจทำให้ค่าเงินอ่อนลงในครึ่งปีหลังคือ การส่งออกที่แย่ลง

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของภาครัฐ (Credit Rating) ที่อาจได้รับผลกระทบจากเพดานหนี้สาธารณะที่ 70%

หากรัฐบาลไม่รีบจัดการปัญหาเหล่านี้ ธุรกิจต่างๆ อาจจะไม่รอด และไม่รอการแก้ไข และมากกว่าเยียวยาต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อย่าเยียวยาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องแจกเงินแล้วทำให้แรงงานมีสกิลเพิ่มขึ้น เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าบางโครงการแจกเงินไปไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์