‘จิตตะ เวลธ์’ ส่อง ‘หุ้นสหรัฐ’​ จัดพอร์ตลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย

‘จิตตะ เวลธ์’ ส่อง ‘หุ้นสหรัฐ’​ จัดพอร์ตลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัย

บลจ.จิตตะ เวลธ์ ส่องหุ้นสหรัฐ ยังเผชิญหลายปัจจัยผันผวน เมื่อราคาถึงจุดสูงสุดแล้วระวังการลงทุน กระจายพอร์ต แนะลงทุนอย่างปลอดภัย เน้นหุ้นกลาง-เล็ก และอุตสาหกรรมAi

การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือ FOMC ครั้งล่าสุดเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นการประชุมที่ตลาดจับตามอง แม้คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะมีมติในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50%  

แต่ที่ประชุมยังมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลงเหลือ 1.4% จากเดิมที่คาดไว้ 1.7% ซึ่งเป็นการปรับลดลงอีกครั้ง หลังจากที่เคยลดลงมาแล้วรอบหนึ่งในเดือนมีนาคม นี่ถือเป็นสัญญาณที่สะท้อนความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลัง 

ถึงแม้ว่าภาพของสงครามในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน รวมถึงความตึงเครียดด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะดูเหมือนผ่อนคลายลง แต่ทั้ง 2 ประเด็นนี้ก็ยังเป็นประเด็นที่มีความไม่แน่นอนสูง

โดยเฉพาะในกรณีของสงครามการค้า เพราะภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการตัดสินใจแบบเหนือความคาดหมาย อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ จริงไหม? 

 

แต่อย่างไรก็ดี "ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์" CEO บลจ.จิตตะ เวลธ์ ( Jitta Wealth ) มองว่า ในระยะยาวแล้ว สหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นผู้นำในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการเงิน อีกทั้งบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายแห่ง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีฐานรายได้จากทั่วโลก ไม่ได้พึ่งพาแค่เศรษฐกิจภายในประเทศ นั่นจึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว

สำหรับทิศทางเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ในปีนี้ เฟด คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อ Core PCE จะอยู่ที่ประมาณ 3.1% ซึ่งยังสูงกว่าระดับเป้าหมาย ทำให้ธนาคารกลางยังคงใช้ความระมัดระวังในการปรับลดดอกเบี้ย โดยตลาดยังคาดว่าในปีนี้ เฟดอาจจะปรับลดดอกเบี้ยได้ 1–2 ครั้ง ถ้าไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามา 

แต่อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญคือ ร่างกฎหมาย “The One Big Beautiful Bill Act” ที่ทางประธานาธิบดีทรัมป์ผลักดันอย่างเต็มที่ จะมีแผนงบประมาณขนาดใหญ่ ที่จะเพิ่มหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อีกกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ และนั่นอาจกดดัน Bond Yield ให้ปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องระวัง เพราะถ้า Bond Yield ขึ้นแรง อาจเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นและพันธบัตรระยะยาวได้ครับ

หนึ่งในกระแสของนักลงทุนยามนี้ที่ได้เห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ​ ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำสถิติ all time high อีกครั้ง ก็เตรียมที่จะเฮละโลหนีร้อน (หุ้นไทย) ไปพึ่งเย็น  ผมเองอยากให้มองสักนิดว่า ถึงแม้ว่าล่าสุดดัชนีสำคัญในสหรัฐฯ อย่าง S&P500 จะได้ทำจุดสูงสุดใหม่ไป แต่ถ้าคิดผลตอบแทน YTD ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ผลตอบแทน S&P500 เติบโตขึ้นมาประมาณ 5-6% เท่านั้นเอง ซึ่งถือว่ายังไม่ได้มากเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ 

นอกจากนี้ด้วย P/E Ratio ในปัจจุบันที่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงแล้วเมื่อเทียบกับในอดีต ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐในตอนนี้ดูแล้วค่อนข้างจะ Overvalued ด้วย และด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง ก็ดูจะมีแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัยในระยะสั้น

โดยหลักๆตอนนี้มีอยู่ 3 ประเด็นที่ควรจะติดตาม

ประเด็นแรก คือ เมื่อผลกระทบจากการประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากร ที่ถูกกำหนด เส้นตายไว้ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่คาดการณ์ได้ยากมากว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ประธานาธิบดีทรัมป์ จะประกาศอะไรใหม่อีกหรือไม่ แล้วตลาดจะตอบรับอย่างไรบ้าง

ประเด็นถัดมา คือนโยบายทางการเงินจากทางธนาคารกลางสหรัฐเองที่ยังคงมีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่อยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายอยู่

โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เจอโรม พาวเวล  ได้ระบุหลังการประชุมนโยบายการเงินที่ผ่านมาว่า กรรมการเฟดคาดการณ์ว่า เงินเฟ้อจากราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนนี้ เนื่องจากผลกระทบจากภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะส่งผลต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ

"สิ่งที่นักวิเคราะห์ภายนอกทุกคนและเฟดเองกำลังพูดถึงก็คือ เราคาดว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และเราต้องนำสิ่งนี้มาพิจารณา และหากเรารอเวลาอีกสักสองสามเดือนหรือนานกว่านั้น เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าการส่งผ่านเงินเฟ้อดังกล่าวนั้นจะเป็นอย่างไร"

สำหรับประเด็นสุดท้ายที่ต้องจับตาคือการผ่านร่างกฎหมาย "The One Big Beautiful Bill Act" ที่อาจมีผลต่อโครงสร้างงบประมาณและหนี้สาธารณะในระยะยาว

นอกจากนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับตลาดโลก ดัชนี MSCI World (ยกเว้นสหรัฐฯ) ทำผลตอบแทนครึ่งปีแรกสูงกว่า S&P 500 ถึงประมาณ 11.5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดอื่นๆ กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น

ดังนั้น ในเวลานี้เอง หากมองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้น อาจไม่ได้โดดเด่นเท่าตลาดอื่นๆ อีกแล้ว แต่ถ้าคุณยังสนใจที่จะจะลงทุนในตลาดสหรัฐฯ

ตอนนี้มองว่าอาจจะต้องคัดมากขึ้น ซึ่งสำหรับผมเอง หากให้มองหา ก็ยังพอเห็นว่ายังมีกลุ่มที่น่าสนใจ เช่นกลุ่มที่อยู่ในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ยังไม่ได้ปรับตัวขึ้นแรง และมีการเติบโตของรายได้และกำไรที่ดี

นอกจากนี้อีกอย่างหนึ่งที่เราต้องยอมรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็คือเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเป็นเศรษฐกิจใหญ่แล้วก็เป็นผู้นำในกลุ่มเทคโนโลยี เพราะฉะนั้นกลุ่มนี้ยังมีการเติบโตที่สูงอยู่แล้วก็โดยเฉพาะตัวอุตสาหกรรม ai เองก็ทางสหรัฐฯ เน้นว่าจะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้วก็ช่วยสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการบริโภคของทั่วโลกในอุตสาหกรรม ai เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการเติบโตของสหรัฐฯ ยังมีได้อยู่ถ้า ai เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก็ทำให้หุ้นสหรัฐฯ ไปต่อได้  

หากถามว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังลงทุนได้หรือไม่ ก็ตอบว่าได้ แต่ไม่ใช่ all in  แน่นอน เพราะระดับราคาที่สูงถึงจุดที่เราควรระมัดระวังแล้ว  

บทเรียนการลงทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นายตราวุทธิ์ เชื่อว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนหลายคนได้เรียนรู้มามากแล้ว หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พอร์ตพังไม่เป็นท่าคือพอร์ตที่ไม่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ

กระแสความต้องการออกไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อหนีจากตลาดหุ้นไทยออกไปในเวลานี้  ไม่ใช่ว่าตลาดไทยแย่เสียทีเดียว แต่เชื่อว่าทุกคนแห็นแล้วว่าการจัดสรรน้ำหนักการลงทุนที่ให้น้ำหนักกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไปต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักให้พอร์ตไม่สามารถไปต่อได้

หลักการลงทุนที่แนะนำมาตลอดและเป็นหัวใจให้พอร์ตปลอดภัยคือการกระจายความเสี่ยง ซึ่งหนึ่งในในสถานการณ์ตลาดที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง

หลักการจัดพอร์ตที่เป็นตัวช่วยสำคัญคือ กลยุทธ์การจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite มีตัวอย่างการจัดพอร์ตแบบนี้ที่พิสูจน์มาแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ว่าสามารถฝ่าวิกฤติต่างๆ มาได้จริง โดย Core Portfolio  ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง  กำหนดสัดส่วน 70-80% เน้นการลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มสหรัฐฯ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แล้วแบ่งไส้ในเป็นหุ้น 80% พันธบัตร 20%  เพื่อสร้างฐานผลตอบแทนระยะยาว  ซึ่งจะเห็นว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพอร์ตนี้มีความผันผวนไม่ถึง 10% แล้วปัจจุบันผลตอบแทนก็เป็นบวก 4-5%  

เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นวิกฤติที่ผ่านมาเข้าจะหนักเพียงใด ถ้าเราสร้างพอร์ต Core ที่ดีก็จะผ่านความผันผวนได้ 

ส่วน Satellite Portfolio สัดส่วนที่เหมาะสมไม่เกิน 20-30% จะสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยเน้นธีมการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูงในระยะกลางถึงยาว

แนะนำตลาดหุ้นจีนหรือตลาดหุ้นฮ่องกงอยู่  เพราะจากปัจจัยที่เกิดขึ้นทั้งหมด จะเห็นว่ากระทบกระเทือนตลาดหุ้นทั้งโลก แต่ตลาดหุ้นที่ยังอยู่ในช่วงที่กลับตัวเป็นขาขึ้นที่ดีคือตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง เพราะว่ามีการร่วงของดัชนีมาแนวโน้มน่าจะมีการกลับตัวขึ้นมาได้อีก

ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปปรับขึ้นมาหลายปีแล้ว จะอยู่ในจุดที่มันใกล้ all time high แล้ว จึงมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะฉะนั้นจึงแนะนำพอร์ต Satellite ไปฝั่งหุ้นจีน

และกลยุทธ์สุดท้ายที่จะช่วยให้คุณ​ Stay Invest ต่อไปได้ก็คือการรักษาวินัยการลงทุนด้วยการ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาด เข้าไม่ถูกหุ้นจะขึ้นหรือจะลง ยังเข้าตอนนี้จะทันหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะการ DCA จะทำให้พอร์ตเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว

การผสมกลยุทธ์แบบนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยง สามารถรับมือกับตลาดที่ยังคงเต็มไปด้วยความผันผวน พร้อมทั้งยังเปิดโอกาสให้พอร์ตได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวครับ  ไม่ว่าใครจะไปใครจะมา หุ้นประเทศไหนจะขึ้นหรือจะลง หากพอร์ตของเรามีการกระจายตัวอย่างเหมาะสมแล้ว เราก็จะมั่นใจและนอนหลับสนิทได้ ว่าพอร์ตจะปลอดภัยแน่นอน