10 บริษัทขาย‘หุ้นกู้' สูงสุด ครึ่งปีแรกพุ่ง1.8แสนล.- กัลฟ์ มากสุด

10 บริษัทขาย‘หุ้นกู้' สูงสุด ครึ่งปีแรกพุ่ง1.8แสนล.-  กัลฟ์ มากสุด

ThaiBMA เปิดครึ่งปีแรก “10 อันดับบ.ขนาดใหญ่” ออกขาย “หุ้นกู้สูงสุด” รวม 1.8 แสนล้าน นำโดย “กัลฟ์” 3 หมื่นล้าน แม้ศก.ชะลอตัว แต่ส่วนใหญ่มีฐานะการเงินมั่นคง ปรับกลยุทธ์ดี

KEY

POINTS

  • 10บริษัทขาย‘หุ้นกู้'พุ่ง1.8แสนล.  ‘ไทยบีเอ็มเอ’ เปิดครึ่งแรกปีนี้ ‘กัลฟ์’ ออกมากสุด 3 หมื่นล้าน
  • พร้อมติดตามความท้าทาย หวั่นปัญหา “หุ้นกู้ดีฟอลต์” แต่เชื่อธุรกิจใหญ่จะไม่เกิดปัญหา

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 “เศรษฐกิจไทย” เผชิญความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ “นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ” และ “ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้า และยากลำบากมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

แม้กระทั่ง “ธุรกิจขนาดใหญ่” ที่ประคองตัวมาหลายปีก็เริ่มประสบปัญหาหลังจากพยุงมาหลายปี แต่หลายบริษัทสายป่านเริ่มไม่ไหว ซึ่งปีนี้จึงเห็นสัญญาณความจำเป็นต้อง “ขอยืดหนี้” ออกไป หากมีการสื่อสารที่ดีกับผู้ถือหุ้นกู้ เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า มีอัตราการขอยืดชำระหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 1-2 ปี เพื่อบรรเทาผลกระทบ 

10 บริษัทขาย‘หุ้นกู้' สูงสุด ครึ่งปีแรกพุ่ง1.8แสนล.-  กัลฟ์ มากสุด

10 บ.ใหญ่ออกขายหุ้นกู้สูงสุดครึ่งปีแรก68 

ทว่ามี “ลบ” ก็ต้องมี “บวก” ด้วยบริบทของธุรกิจไทยที่ผ่านมา ซึ่งบางอุตสาหกรรมที่สร้างการเติบโตรวดเร็ว หนึ่งในคือการใช้เครื่องมือการเงินอย่าง การระดุมทุนผ่าน “ตลาดหุ้นกู้” ไม่ได้ใช้กระแสเงินสดในการลงทุนสร้างการเติบโตอย่างเดียว 

ล่าสุด “สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย” (ThaiBMA) รายงานภาพรวม “10 อันดับบริษัทขนาดใหญ่” ที่มีการออกหุ้นกู้สูงสุด 10 อันดับแรก ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 มูลค่ารวม 187,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

1.บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) กลุ่มพลังงาน มูลค่า 30,000 ล้านบาท

2.บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) กลุ่มไอซีที มูลค่า 29,500 ล้านบาท

3.บมจ.เมืองไทย แคปปิตอล (MTC) กลุ่มการเงิน มูลค่า 22,800 ล้านบาท

4. ธนาคารไทยพาณิชย์ กลุ่มธนาคาร มูลค่า 20,000 ล้านบาท

5.บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) กลุ่มอาหาร มูลค่า 16,500 ล้านบาท

6.บ.โตโยต้า ลีสซิ่ง (TLT) กลุ่มการเงิน มูลค่า 15,500 ล้านบาท

7.บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) กลุ่มพาณิชย์ มูลค่า 15,000 ล้านบาท

8.บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง มูลค่า 15,000 ล้านบาท

9.บมจ.แสนสิริ (SIRI) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 12,000 ล้านบาท

และ 10.บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) (CPFTH) กลุ่มเกษตร มูลค่า 11,500 ล้านบาท

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวว่า ภาพรวม 10 อันดับบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีการออกหุ้นกู้สูงสุด ส่วนหนึ่งมาจากการขยายธุรกิจสร้างการเติบโตระยะข้างหน้า ชำระคืนหนี้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งยังมีฐานะการเงินมั่นคง และมีธรรมาภิบาลที่ดี ไม่น่าเป็นห่วง

อย่าง บจม.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ มาจากการขยายธุรกิจและมีการควบรวมธุรกิจ หรือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ที่ผ่านมาในภาพรวมแม้จะมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ แต่บริษัทเหล่านี้ยังมีการปรับกลยุทธ์ และผลประกอบการก็ยังมีความมั่นคง ดังนั้น หุ้นกู้ไม่ได้รับผลกระทบ ขณะที่กลุ่มไฟแนนซ์ (การเงิน) ยังมีการระดมทุนรองรับการขยายสินเชื่อเพิ่มเติม

ในระยะข้างหน้า มองว่าแนวโน้มกลุ่มอุตสาหกรรม “กลุ่มพลังงาน” ยังเป็นกลุ่มที่จะมีการออกหุ้นกู้มากที่สุด แม้ว่ายอดออกหุ้นกู้ปีนี้จะชะลอตัวลงก็ตาม และส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกลุ่มเดิมๆ รองมาคือ “กลุ่มการเงิน” และ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน 60% ของมูลค่าการออกหุ้นกู้ทั้งหมด โดยในปี 2567 กลุ่มการเงินมีการออกหุ้นกู้มากที่สุดรองลงมาจะเป็นอสังหาฯ และพลังงาน

อย่างไรก็ตาม สภาพของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และความท้าทายที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ทั้งสงครามการค้า ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์การลงทุนช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อขนาดของหนี้ และความผันผวนต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เป็นเหตุให้การประเมินของ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ส่อไปในทิศทางที่มีแนวโน้มแย่ลงนั้น

นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ ThaiBMA กล่าวว่า กรณีที่ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ประเมินทิศทางธุรกิจขนาดใหญ่แนวโน้มแย่ลงนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องติดตามควาามท้าทายนี้ต่อไปว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะคลี่คลายอย่างไรต่อไป และความสามารถในการปรับตัวของแต่ละบริษัทจะเป็นไปอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหา “หุ้นกู้ดีฟอลต์” ขึ้น 

“แน่นอนว่า บริษัทขนาดใหญ่ยังมีทางเลือกในการระดมทุนหลากหลาย เราเชื่อว่าบริษัทกลุ่มนี้ จะไม่ปล่อยให้บริษัทประสบปัญหาจนขาดสภาพคล่องจนกระทบการชำระหนี้หุ้นกู้และตลาดภาพรวม”