พิพัฒน์ ชี้จดหมายทรัมป์ the art of the deal เรียกค่าคุ้มครอง บีบไทยกลับโต๊ะเจรจา แนะเปิดตลาดเกษตร เร่งยกระดับศักยภาพ

พิพัฒน์ ชี้จดหมายทรัมป์ the art of the deal เรียกค่าคุ้มครอง บีบไทยกลับโต๊ะเจรจา แนะเปิดตลาดเกษตร เร่งยกระดับศักยภาพ

ดร.พิพัฒน์มองว่าจดหมายจากสหรัฐฯ เป็นการใช้กลยุทธ์ "the art of the deal" เพื่อเรียกค่าคุ้มครองและบีบให้ไทยกลับสู่โต๊ะเจรจาทางการค้า เสนอให้ไทยพิจารณาเปิดตลาดภาคเกษตรให้สหรัฐฯ อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องมีมาตรการรองรับผลกระทบและชดเชยผู้ที่ได้รับความเสียหาย แนะให้เร่งยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศผ่านสิทธิประโยชน์ด้าน R&D และเครดิตภาษี เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงเช่น EV และ AI

KEY

POINTS

  • ดร.พิพัฒน์มองว่าจดหมายจากสหรัฐฯ เป็นการใช้กลยุทธ์ "the art of the deal" เพื่อเรียกค่าคุ้มครองและบีบให้ไทยกลับสู่โต๊ะเจรจาทางการค้า
  • เสนอให้ไทยพิจารณาเปิดตลาดภาคเกษตรให้สหรัฐฯ อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยต้องมีมาตรการรองรับผลกระทบและชดเชยผู้ที่ได้รับความเสียหาย
  • แนะให้เร่งยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศผ่านสิทธิประโยชน์ด้าน R&D และเครดิตภาษี เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงเช่น EV และ AI
  • ชี้ว่าไทยจำเป็นต้องแก้ปัญหาการเมืองภายในที่ขาดเอกภาพ โดยเสนอให้ตั้ง War-Room เพื่อรวมเสียงจากกระทรวงหลักและภาคเอกชนให้เป็นหนึ่งเดียว
  • ย้ำถึงความจำเป็นในการกระจายตลาดส่งออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เช่น EU ผ่านข้อตกลง FTA เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) โพสต์เฟซบุ๊ก “Pipat Luengnaruemitchai” ระบุว่า จดหมายสไตล์ Art of the Deal ที่เหมือนเรียก “ค่าคุ้มครอง” บังคับไทยกลับโต๊ะเจรจา หลังจากขู่มาสามเดือน สหรัฐฯ ส่งจดหมายมาบอกว่า ไทยจะโดนภาษี 36% กับสินค้าทุกชนิดภายใน 1 สิงหา แต่ก็เปิดช่องไว้ว่า ถ้าตัดสินใจเปิดตลาดก็อาจจะพิจารณาลดภาษีลงมาได้ เหมือนบอกว่า เขายังไม่พอใจกับการเจรจา และเครื่องราชบรรณาการที่เอามาให้ยังไม่ดีพอ นี่คือจดหมายปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ แต่ยังเปิดให้เจรจากันได้ต่อ

นี่คงเป็นสิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกว่า the art of the deal
1. เจ็บมากกว่ายอดส่งออกหาย
ปัญหาคือสหรัฐอยู่ในสถานะที่ดีกว่าเราในการเจรจา เพราะเราพึ่งพาสหรัฐมากกว่าสหรัฐพึ่งพาเรา
 • ส่งออก – สหรัฐฯ รับราว 18 % ของมูลค่าส่งออกไทย (กว่า 55 พันล้านดอลลาร์) ถ้าโดนภาษี 36 % คู่แข่งอย่างเวียดนาม-เม็กซิโกพร้อมเสียบ คำสั่งซื้ออาจหายทันที โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิคส์ เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์ยาง
 • ภาคการผลิต ที่มีปัญหาความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว อาจโดนซ้ำเติม แรงงานเสี่ยงโดนเลิกจ้าง หรือต้องย้ายสายการผลิตไปประเทศภาษีต่ำ
 • เสน่ห์ FDI หาย – นักลงทุนคงถามตรง ๆ ว่า “ตั้งโรงงานไทยแล้วต้องโดนภาษี 36 % ทำไมไม่ไปเวียดนาม?” เงินลงทุนเทคโนโลยี EV-AI อาจไหลออกตั้งแต่ยังไม่เปิดสายการผลิต
 

2. Tradeoff ที่ไม่ง่ายเลย
เรากำลังโดนบังคับให้เลือก (trade off) ระหว่างภาคส่งออกซึ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย กับเปิดตลาดให้สหรัฐเพิ่ม 
ซึ่งอุตสาหกรรมที่เราปกป้องมากที่สุดทั้งภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (เช่น quota และ import bans) คือภาคเกษตร แม้มีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจไม่มาก แต่จ้างงานจำนวนมาก และมีผลต่อธุรกิจใหญ่เล็กมหาศาล
การเปิดตลาดคงกระทบต่อชีวิตคนจำนวนมากแน่ๆ
ส่วนอีกเงื่อนไขสำคัญ คือการป้องกันสินค้าจีนสวมสิทธิ์ ซึ่งอาจจะทำให้กระทบความสัมพันธ์กับจีน

3. การเมืองในบ้าน—ยากกว่าเจรจานอกบ้าน
ในภาวะที่การเมืองขาดเอกภาพ และเสถียรภาพ การทำงานสามกระทรวงหลักอยู่คนละพรรค คำถามคือใครจะเป็นคนเคาะ และจะเคาะได้หรือไม่ ยังไม่นับว่าบางข้อเสนออาจจะผ่านสภาอีก
Internal negotiations อาจจะยากกว่า external negotiation เสียอีก 
เราจึงมีกลไกในการพิจารณาพูดคุยโดยมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน ไม่งั้นมีปัญหาแน่นอน

4. แล้วเราควรต้องทำอย่างไร
ในเมื่อการเจรจาแบบ win-win น่าจะเป็นไปได้ยากในกรณีนี้ เราอาจจะต้องหาทาง  give and take และพิจารณาถึงผลกระทบในแต่ละทางเลือกอย่างรอบด้าน และหาทางชดเชยผลกระทบ

- เข้าใจสิ่งที่สหรัฐต้องการก่อน ถ้าดูสิ่งที่เขาได้จากเวียดนาม เข้าใจว่าสหรัฐต้องการให้เราเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐ ลดภาษีนำเข้า ยกเลิก non tariff barrier และจัดการกับเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ ซึ่งเราคงต้องพิจารณาผลกระทบของแต่ละเรื่องอย่างเข้าใจจริงๆ และเปรียบเทียบต้นทุนแต่ละทางเลือก
และคงต้องหาทางออกเรื่อง  transshipment แบบเอาจริง เงื่อนไขคืออะไร ทำได้จริงหรือไม่ 

- พิจารณาหาทางเปิดเสรีด้านต่างๆ โดยเฉพาะภาคเกษตรซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างค่อยเป็นค่อยไป และมีมาตรการลดผลกระทบ อย่างน้อยในระยะสั้น แต่ต้องหาวิธีชดเชยความเสียหายแบบเข้าใจจริงๆ
โดยต้องสื่อสารให้สาธารณชนเข้าใจประเด็น  และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาทางเลือก และพูดคุย

- เรายังคงต้องพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ดึงลงทุนเทคโนโลยี-มูลค่าสูง 
 • สิทธิประโยชน์ R&D, เครดิตภาษี ให้ EV parts, AI hardware, data center มาตั้งฐานในไทย
 • Upskill แรงงานสู่ทักษะดิจิทัล-หุ่นยนต์ เพิ่มค่าแรงเฉลี่ยและผลิตภาพ
 

- War-Room เสียงเดียว
 • รวมคลัง-พาณิชย์-เกษตร-เอกชน ตัดสินรวดเร็ว ส่งสัญญาณชัดแก่สหรัฐฯ และนักลงทุนว่าประเทศ “เอาจริง”
 

- เร่งกระจายตลาดส่งออก
 • ใช้ RCEP, CPTPP, GCC เร่งทำ FTA กับกลุ่มประเทศใหญ่อย่าง EU เพื่อกระจายตลาดจากสหรัฐฯ

บทสรุป
จดหมายฉบับนี้คือ the art of the deal เวอร์ชันเรียกค่าคุ้มครอง—บีบให้ไทยต้องเลือก จะยอมเสียบางอย่างตอนนี้ เพื่อไม่ให้เสียอนาคตทั้งหมด
หากเราเดินเกม Give-and-Take ค่อย ๆ เปิดตลาดเกษตร พร้อมกันชน‐ชดเชย และเร่ง “ยกระดับศักยภาพแข่งขัน”—ไม่เพียงแค่รอดภาษี 36 % แต่ยังอาจใช้จังหวะนี้เร่งเครื่องเศรษฐกิจไทยสู่มูลค่าสูงกว่าเดิมให้ได้