‘F1: The Movie’ ความสำเร็จแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Apple ในวงการบันเทิง

ความร้อนแรงของภาพยนตร์เรื่อง ‘F1: The Movie’ เกินกว่าที่ใครจะต้านทานได้ไหว ความสำเร็จแรกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Apple ในวงการบันเทิง
KEY
POINTS
Key points
- ปัญหาคือที่ผ่านมาการลงทุนมหาศาลในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ กลับจบลงด้วยความเศร้า แต่ทุกความล้มเหลวคือบทเรียนที่นำมาสู่ความสำเร็จแรกของ Apple กับหนังเรื่องแรกของพวกเขาที่เป็นหนังฮิต F1!
- การได้ “โชว์ของ” ของ Apple เองด้วยการใช้ชิ้นส่วนกล้อง iPhone ในการทำกล้องพิเศษที่เก็บภาพมุมมองของนักแข่งที่สมจริงที่กล้องถ่ายทอดสดของจริงทำไม่ได้
- ความสำเร็จของ F1: The Movie ทำให้ความหวังของผู้ประกอบการโรงหนังรวมถึงคนในอุตสาหกรรมนี้เริ่มกลับมา และมองเห็นภาพรางๆว่ามีโอกาสที่คนจะกลับเข้ามาชมภาพยนตร์ในโรงหนังกันอีกครั้งเหมือนในยุคก่อนโควิด-19
- กระแสร้อนแรงของ F1: The Movie ยังมีผู้ชนะอีกหนึ่งราย นั่นคือ “Liberty Media Corp” เจ้าของการแข่งขัน Formula 1 (F1) ตัวจริง เพราะกระแสที่เกิดขึ้น ทั้งหมดจะวนกลับมาหาการแข่งขันในโลกของความเป็นจริง
ถึงแม้ว่าจะต้องลงสนามพร้อมกับภาพยนตร์เบอร์ใหญ่ในเวลาไล่เลี่ยกันหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น “Mission: Impossible 8 - The Final Reckoning” หรือ “How to Train Your Dragon” แต่ดูเหมือนความร้อนแรงของภาพยนตร์เรื่อง “F1: The Movie” จะเกินกว่าที่ใครจะต้านทานได้ไหว
ตัวเลขสัปดาห์แรกของการฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกสูงถึง 144-146.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5 พันล้านบาท) ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นความสำเร็จที่เกินความคาดหมายแล้ว ยังทำให้เกิดปรากฏการณ์ความคลั่งไคล้ในหนังเรื่องนี้ ที่ไม่เพียงแค่ความสนุกจากการเอาใจช่วยตัวเอกอย่าง ซอนนี เฮย์ส (รับบทโดยแบรด พิตต์) แต่ยังมีตัวละครต่างๆอีกมากมายที่อยู่ในเรื่องและสะท้อนให้เห็นภาพการแข่งขันรถฟอร์มูลาวันที่ประกอบไปด้วยบุคลากรมากมายเป็นจิ๊กซอว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ต่อกันเป็นภาพใหญ่
แต่สำหรับหนังฟอร์มยักษ์ระดับ “บล็อคบัสเตอร์” เรื่องนี้ หนึ่งในจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกลับไม่ใช่สตูดิโอใหญ่ระดับโลก แต่เป็น “Apple Original Films” แผนกภาพยนตร์ของยักษ์ใหญ่ในโลกเทคโนโลยีที่หลังความพยายามอย่างยาวนาน พวกเขาก็ได้มี “หนังฮิต” เรื่องแรกแล้ว โดยที่สิ่งที่อยู่ด้านหลังพวงมาลัยในเรื่องนี้คือความพยายามที่น่ายกย่อง
โปรแกรมเพชรหนังพันล้าน
Apple เป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีของโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่งและพยายามที่จะหาทางขยายโอกาสให้กับตัวเองตลอดเวลา
หนึ่งในสิ่งที่บริษัทที่ก่อตั้งโดย สตีฟ จ็อบส์ ผู้ล่วงลับทำคือการกระโจนเข้าสู่อุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการเปิดตัวแพลตฟอร์มสตรีมมิงของตัวเองในชื่อ Apple TV+
6 ปีที่ผ่านมา Apple TV+ พยายามที่จะสร้างสรรค์ซีรีส์ที่มีคุณภาพสูง ไปจนถึงการดึงทั้งหนังและผู้สร้างที่มีชื่อเสียงมาเข้าร่วมด้วย ซึ่งก็พอมองเห็นความสำเร็จบ้าง เช่น ซีรีส์ Ted Lasso ที่ได้รับกระแสการตอบรับที่ดี แต่ในภาพรวมแล้วยังห่างไกลจากความสำเร็จของเจ้าตลาดอย่าง Netflix, Prime Video, Max หรือ Disney+
นอกจากบนแพลตฟอร์มสตรีมมิงแล้ว Apple ยังก่อตั้งแผนกภาพยนตร์ของตัวเองในชื่อ Apple Original Films ซึ่งก็เป็นตามชื่อว่านี่คือ “ค่ายหนัง” ที่ก่อตั้งโดย Apple เพื่อจะทำหนังในแบบของ Apple เอง ปัญหาคือที่ผ่านมาการลงทุนมหาศาลในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่ได้ผู้กำกับดังมามากมาย กลับจบลงด้วยความเศร้าแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น
- Killiers of the Flower Moon (2023) โดยมาร์ติน สกอร์เซซี ผู้กำกับระดับตำนานที่ทำรายได้ 158.8 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้าน
- Napoleon (2023) โดย ริดลีย์ สกอตต์ ทำรายได้เพียง 221.4 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ
- Argylle (2024) โดย แมตธิว วอห์น ทำรายได้เลวร้าย 96.2 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ
- และปีกลายกับ Fly Me to the Moon (2024) ก็เป็นอีกเรื่องที่ “เจ๊ง“ โดยทำรายได้เพียง 42.3 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ
แต่ทุกความล้มเหลวคือบทเรียนที่นำมาสู่ความสำเร็จแรกของ Apple กับหนังเรื่องแรกของพวกเขาที่เป็นหนังฮิต F1!
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ สำหรับคอหนังแล้วมีภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตำนานการแข่งรถหลายเรื่องที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสุดยอดตรึงใจ เช่น Rush (2013) หรือ Ford vs. Ferrari (2019)
แต่สำหรับ F1: The Movie แล้วหนังเรื่องนี้กลับไม่ได้อ้างอิงจากการแข่งขันจริง หรือแรงบันดาลใจจากนักแข่งคนไหนในอดีตทั้งนั้น
ตัวละครซอนนี เฮย์ส (แบรด พิตต์) เป็นตัวละครสมมติที่สร้างขึ้นมาใหม่ เช่นเดียวกับบทภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากจินตนาการของทีมเขียนบท และมุมมองของผู้กำกับโจเซฟ โคซินสกี โดยมี เจอร์รี บรัคไฮเมอร์ เป็นผู้อำนวยการสร้าง
อย่างไรก็ดีถึงจะเป็นเรื่องสมมติภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำแบบ “ของจริง” รถแข่งจริง สนามจริง และสิ่งที่ทำให้ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกคือการมีนักแข่งรถตัวจริงปรากฏตัวในเรื่องด้วย
ที่สำคัญคือการได้ “โชว์ของ” ของ Apple เองด้วยการใช้ชิ้นส่วนกล้อง iPhone ในการทำกล้องพิเศษที่เก็บภาพมุมมองของนักแข่งที่สมจริงที่กล้องถ่ายทอดสดของจริงทำไม่ได้
โดยที่ไฟล์วีดีโอที่ถ่ายทำนั้นเป็นการบันทึกในรูปแบบ ProRes โดยนำไฟล์ LOG ที่ได้จากชิ้นส่วนกล้องพิเศษที่ทำจาก iPhone มาปรับแต่งสี (เกรดดิง) ในระดับสตูดิโอภาพยนตร์ได้
เรียกว่าเป็นการโชว์ของแบบเต็มๆ ไม่นับกลยุทธ์มาร์เกตติ้งอีกมากมายที่นำมาใช้ เช่น การปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์เวอร์ชั่นพิเศษบน Apple TV+ ที่เมื่อดูไปจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นที่สอดคล้องกับฉากต่างๆที่เกิดจาก Haptic Engine ในโทรศัพท์ iPhone ด้วย
องค์ประกอบเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ เมื่อรวมกับบทภาพยนตร์ที่ดี การถ่ายทำที่สุดยอด ทำได้เกินกว่าความคาดหวังของแฟนๆ “เอฟวัน“ ทั่วโลก (ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่จำนวนเยอะมาก) ทำให้ F1: The Movie ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
โดยมีการคาดกันว่ามีโอกาสที่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 500-600 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้อาจจะยังไม่ห่างจากทุนสร้างจริงๆที่ 500 ล้านเหรียญมากนัก
แต่แค่นี้ผู้บริหารของ Apple ก็ยิ้มกว้างแล้วและพวกเขาไม่ได้ยิ้มแค่คนเดียว A New Hope ของโลกจอเงิน
ทิม คุก ซีอีโอ Apple ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Variety เมื่อเดือนมิถุนายนถึงเรื่องของการลงทุนของบริษัทในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะช่วยเรื่องยอดขายของ iPhone อะไร
”ผมไม่มีความคิดในหัวเลยว่าผมจะขาย iPhone ได้มากขึ้นเพราะเรื่องนี้“
แต่ทุกคนรู้ว่าทิม คุก พอใจในความสำเร็จครั้งนี้ที่จะสามารถต่อยอดได้อีกมากมายสำหรับ Apple ที่ดูเหมือนจะค้นพบสูตรสำเร็จใหม่ จากเดิมที่ทำหนังเพื่อหวังรองรับ Apple TV+ เป็นหลัก พวกเขารู้แล้วว่าบางทีการสร้างผลงานระดับสุดยอดขึ้นมาสักเรื่องเพื่อฉายในโรงหนังจริงๆเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า และควรทำมาตั้งนานแล้ว
เรื่องนี้ถือเป็น “น้ำทิพย์” สำหรับคนในอุตสาหกรรมบันเทิง โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ที่ตกอยู่ในสภาวะลำบากมายาวนานหลายปี นับจากช่วงยุคโควิด-19 ในปี 2020 ต่อเนื่องมาถึงพฤติกรรมการชมภาพยนตร์ของคนรุ่นใหม่ที่หันไปหาการชมผ่านบริการสตรีมมิงมากขึ้น
ยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix ประสบความสำเร็จในการสร้างผลงานของตัวเองในนาม Netflix Originals ที่ออกฉายผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงของตัวเอง โดยมีค่ายหนังทั่วโลกที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้แต่การทำแบบนั้นเป็นการทำให้ผู้คนออกห่างจากโรงหนัง
ความสำเร็จของ F1: The Movie ทำให้ความหวังของผู้ประกอบการโรงหนังรวมถึงคนในอุตสาหกรรมนี้เริ่มกลับมา และมองเห็นภาพรางๆว่ามีโอกาสที่คนจะกลับเข้ามาชมภาพยนตร์ในโรงหนังกันอีกครั้งเหมือนในยุคก่อนโควิด-19
“เราหวังว่าความสำเร็จของ F1 จะช่วยทำให้ Apple นำภาพยนตร์ของพวกเขามาสู่โรงหนังมากขึ้นในอนาคตเพื่อที่ทุกคนจะได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์เรื่องราวที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้”
Apple กับอนาคตในวงการหนัง
ความจริงมีการคาดกันว่าหาก F1 ไม่ประสบความสำเร็จ มีความเป็นไปได้สูงที่ Apple จะถอนตัวจากวงการนี้ไปเลย แคต่ถึงอย่างนั้นความสำเร็จนี้ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่า Apple จะเดินหน้าทุ่มเต็มกำลังในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
แต่ก็มีการวิเคราะห์ทางเลือกที่น่าสนใจเอาไว้ 4 เส้นทางด้วยกัน
1. ทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดลงในอุตสาหกรรมบันเทิง เปิดโปรเจ็คต์ภาพยนตร์มากมายในแต่ละปีและใช้ทรัพยากรของบริษัทในการสร้างสรครรค์ผลงานรวมถึงการขายผลงาน แต่ทางเลือกนี้ใช้เงินลงทุนมหาศาลและมีความซับซ้อนมาก แม้จะมีข้อดีกับ Apple TV+ แน่นอน
2. เลือกทำเฉพาะโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ที่น่าสนใจเป็นบางเรื่อง ในโมเดลเดียวกับ F1: The Movie โดยทำงานร่วมกับค่ายหนัง แต่จะไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะเปรี้ยงหรือไม่เปรี้ยง และถ้าไม่เปรี้ยงรายได้กริบจะทำอย่างไร
3. ทำแบบ Netflix ในการผลิต Docuseires เพื่อลงใน Apple TV+ ที่จะทำให้ผู้สมัครใช้บริการได้มีอะไรรับชมสม่ำเสมอ แบบนี้ลงทุนน้อย แต่จะลดโอกาสในการทำงานร่วมกับ “เบอร์ใหญ่” ในวงการ ทั้งนักแสดงหรือผู้กำกับ
4. ซื้อค่ายหนังสักค่ายเข้ามาอยู่ในเครือของตัวเอง ซึ่งแบบนี้ดีที่สุดเพราะลุยกันต่อได้ทันทีโดยที่ Apple ก็มีทุนมหาศาลอยู่แล้ว เพียงแต่ทางเลือกนี้เป็นทางเลือกที่ดูไม่ใช่สไตล์ Apple มากที่สุด
F1 ผู้ชนะที่แท้จริง?
กระแสร้อนแรงของ F1: The Movie ยังมีผู้ชนะอีกหนึ่งราย นั่นคือ “Liberty Media Corp” เจ้าของการแข่งขัน Formula 1 (F1) ตัวจริง
เพราะกระแสที่เกิดขึ้น จำนวนผู้ชมที่ได้เข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งหมดจะวนกลับมาหาการแข่งขันในโลกของความเป็นจริงที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นในฤดูกาลปัจจุบัน
โดยในสุดสัปดาห์นี้จะเป็นการแข่งขันรายการ “บริติช กรังด์ปรีซ์” ที่สนามซิลเวอร์ สโตน แทร็กระดับตำนานที่มีอายุครบ 75 ปีในปีนี้
ความสำเร็จของหนัง F1 ถือเป็นอีกย่างก้าวที่ยิ่งใหญ่ นับจากที่ Liberty Media เข้ามาซื้อกิจการของรถแข่งฟอร์มูลาวัน เมื่อปี 2017 หรือ 8 ปีก่อน
ช่วงเวลาที่ผ่านมา Liberty Media ได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของการแข่งรถเอฟวันที่ดูน่าเบื่อ เป็นกีฬาของแฟนตัวยงที่ติดตามมานาน ให้กลายเป็นกีฬาในกระแสที่ทุกคนรอคอยได้อย่างน่ามหัศจรรย์
สิ่งที่พวกเขาทำคือการเปลี่ยน “นักแข่ง” ให้เป็น “นักแสดง” ที่บอกเล่าเรื่องราวผ่านสารคดี “Drive To Survive” ที่ร่วมมือกับ Netflix ในการถ่ายทำเบื้องหลังที่มีความดราม่า แรงกดดัน การแข่งขัน เรื่องซึ้งๆ และอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ที่คนไม่เคยได้เห็น จากจุดเริ่มต้นในตอนนั้นทำให้ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมาติดตามการแข่งรถเอฟวันมากขึ้นกว่าเดิมมาก
ปัจจุบันมีแฟนๆเอฟวันมากถึง 800 ล้านคน (ข้อมูล Statista) และที่น่าสนใจคือในจำนวนนี้แฟนกีฬาที่เป็นผู้หญิงกลุ่มเจนซี มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 41 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์วงการกีฬาเลยก็ว่าได้ และเป็นบทเรียนระดับ Masterclass ในการพลิกธุรกิจกีฬา หนัง F1 เรื่องนี้ของ Apple คืออีกหนึ่งโทรฟี่ที่พวกเขาได้รับจากความพยายามทั้งหมด
และแน่นอนว่ามันยังไม่ใช่เส้นชัย การแข่งขันยังเหลืออีกหลายรอบสนาม!
อ้างอิง:
- forbes.com/sites/bennyhareven/2025/06/30/f1-the-movie-box-office-success-is-great-for-apple-and-cinema-says-vue/
- variety.com/2025/film/box-office/f1-box-office-success-apple-movie-strategy-1236443690/
- businessinsider.com/f1-movie-apple-brad-pitt-imax-box-office-formula-one-2025-6
- newsweek.com/sports/racing/f1-box-office-win-fuels-apple-studios-cinematic-future-2093530
- sportspro.com/news/f1-motorsport-network-study-women-gen-z-fans-sponsors-july-2025/







