‘ธุรกิจรายใหญ่’ เสี่ยงเพิ่ม ‘ผวารายได้หด-ก่อหนี้พุ่ง’

สัญญาณเตือน “ธุรกิจรายใหญ่” กำลังเผชิญความเสี่ยงเพิ่ม รายได้ลด-หนี้สินต่อีบิทด้าพุ่ง หลังเศรษฐกิจเปราะบาง
นายนริศ สถาผลเดชา ประธานกลุ่มงาน Data และ Analytics ธนาคารทหารไทยธนชาต (ทีทีบี) กล่าวว่า หลายเครื่องชี้วัดปัจจุบันสะท้อนธุรกิจรายใหญ่เริ่มมีปัญหาให้เห็นมากขึ้น ซึ่งผลกระทบหลักมาจากรายได้ที่ลดลง
โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ไม่รวมตลาด MAI ในไตรมาสแรก ที่รายได้ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง หากเทียบช่วงโควิด-19 หรือหากย้อนหลัง 5-6 ปีก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ สะท้อนความสามารถการหารายได้จำกัดลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคงทน เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ที่อยู่อาศัย ชิ้นส่วนยานยนต์ที่พบว่ารายได้ลดลงต่อเนื่อง โดยปัจจุบันรายได้ลดเหลือเพียง 70% หากเทียบกับ 100% ในช่วง 5-6 ปีก่อนหน้านี้ สะท้อนรายได้ 30% ยังไม่กลับมา
ดังนั้น รายได้ที่ตึงมากขึ้นนำมาสู่กำไรสุทธิ หรือกระแสเงินสดที่ตึงตัวมากขึ้น จึงนำไปสู่การก่อหนี้ผ่านการออกหุ้นกู้ หรือการขอสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันเริ่มเห็นหนี้ D/E ของธุรกิจปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
“การก่อหนี้ของบริษัทรายใหญ่ของไทย ที่เริ่มมี D/E สูงขึ้นหลักๆ มองว่ามาจากปัญหาด้านรายได้ที่ลดลง ไม่ได้มาจากการลดต้นทุนของบริษัท แต่มาจากรายได้ที่ลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่โควิด ที่ยังไม่กลับมาฟื้นตัว
- สินเชื่อรายใหญ่ใกล้ติดลบ
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า หากดูวัดการเป็นหนี้ของเอกชนของภาคธุรกิจ ซึ่งจากรวบรวมที่เกิดจากการออกหุ้นกู้ และเกิดจากการ “กู้สินเชื่อ”
หากรวมทั้งสองส่วนด้วยกัน พบว่าการก่อหนี้ปัจจุบันอยู่ที่ 14.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 76.1% ของจีดีพี แม้จะไม่ได้สูงที่สุดหากเทียบกับระดับสูงสุดในอดีต แต่การก่อหนี้ของธุรกิจรายใหญ่พบว่าสูงขึ้นหากเทียบกับก่อนโควิด ที่อดีตไตรมาส 4 ปี 2562 อยู่เพียง 70.3%
นอกจากนี้ พบปัจจุบันเริ่มเห็นธุรกิจหันไปออกหุ้นกู้มากขึ้น ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาเป็น 28.8% ขณะที่การใช้สินเชื่ออยู่ที่ 71.2% หากเทียบกับก่อนโควิด ที่การพึ่งพาหุ้นกู้อยู่เพียง 26% ต่อ 74% ตอนนี้สะท้อนว่าออกหุ้นกู้สูงขึ้น จากต้นทุนดอกเบี้ยที่ถูกลง ทำให้ธุรกิจหันไปใช้ช่องทางอื่นๆ ในการหากระแสเงินสดมากขึ้น
อย่างไรก็ตามหากดูสินเชื่อรายใหญ่ ในระบบแบงก์ไทยพบว่า แม้สินเชื่อรายใหญ่ปัจจุบันจะไม่ติดลบ แต่การเติบโตชะลอตัวลง ล่าสุดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 6.3 ล้านล้านบาท ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา เติบโตเพียง 0.1% หากเทียบกับทั้งปี 2567 ที่สินเชื่อรายใหญ่โตทั้งปีที่ 2.4%
“แนวโน้มสินเชื่อรายใหญ่ปีนี้มองว่าอาจโตได้ที่ 1.6-2% หากเทียบกับปีก่อนที่โต 2.4% โตชะลอลง จากเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น โดยเฉพาะครึ่งปีหลังที่ยังมองไม่เห็นการฟื้นตัวเศรษฐกิจทำให้ธุรกิจยังคงระมัดระวังในการก่อหนี้เพิ่มขึ้น”
- หวั่นเศรษฐกิจทรุดทุบธุรกิจยิ่งแย่
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ปัญหาในธุรกิจขนาดใหญ่วันนี้ควรพิจารณาเป็นรายภาคส่วน บางเซกเตอร์ อาจไม่ได้ทั้งหมดที่มีปัญหา ปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน
เช่น กรณีของหุ้นกู้ที่ไม่สามารถ Rollover ได้ รวมถึงต้นทุนการเข้าถึงสินเชื่อที่สูงขึ้นในบางกลุ่มธุรกิจ ซึ่งปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นในบางภาคส่วนเท่านั้น
โดยกลุ่มที่น่าห่วงคือ “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ที่มีผลกระทบจากความต่อเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งไม่ได้เป็นผลมาจากเหตุการณ์เฉพาะอย่างเช่นแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว แต่มีสัญญาณเตือนมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แต่ธุรกิจที่เจอปัญหาก็จำกัดอยู่เฉพาะราย
โดยเฉพาะในกลุ่มเรตติ้งต่ำ หรือธุรกิจที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ภาคการผลิต เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ โรงงานอุตสาหกรรมบางกลุ่ม กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องสงครามการค้า หรือการเข้ามาของทุนจีนที่ค่อนข้างมาก ซึ่งส่งผลให้ยอดขายลดลงและความสามารถในการแข่งขันต่ำลง ดังนั้นต้องจับตาใกล้ชิด
“แม้รายใหญ่อาจไม่ได้น่าห่วงมากในภาพรวม แต่มีโจทย์ที่ต้องติดตาม หากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตในระดับต่ำและโตต่ำอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงขึ้นได้ ความเสี่ยงจะเริ่มลามไปในภาคส่วนอื่น ๆตามมาให้เห็นได้”
- “บล.เอเซีย พลัส” มองศก. เสี่ยง กระทบธุรกิจ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ในช่วงภาวะตลาดผันผวนมากขึ้น และเกิดวิกฤติความเชื่อมั่นในต่อตลาดหุ้นกู้
รวมถึงเมื่อความเสี่ยงเศรษฐกิจมีมากขึ้น มักจะส่งผลกระทบต่อภาวะการเงินของภาคธุรกิจลงนั้น มองว่า อาจสร้างความกังวลใจต่อการโรลโอเวอร์หุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่ที่ออกหุ้นกู้จำนวนมากได้ แต่คงไม่ถึงขั้นเกิดวิกฤติจนเกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ (ดีฟอลต์) เหมือนกลุ่มหุ้นกู้ไฮยีลด์ของบริษัทขนาดกลางและเล็ก
เพราะมองว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการออกหุ้นกู้ จำนวนมากนั้นยังมีทางออกหากหลายแหล่งระดมทุน ดังนั้น หากมีหนี้สินต่ออีบิทด้าเพิ่มขึ้น บริษัทขนาดใหญ่คงต้องมีการกระจายแหล่งระดมทุนอื่นๆ มากขึ้นด้วย
เช่น เพิ่มสัดส่วนการกู้เงินจากสถาบันการเงิน หรือเครื่องมือทางการเงินอื่น รวมถึงอาจใช้วิธียืดเวลาชำระหนี้ หรือปรับเงื่อนไขออกหุ้นใหม่เป็นแบบมีหลักประกันแทน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุน
“ความกังวลของตลาดที่เกิดขึ้น คงไม่ใช่การออกหุ้นกู้ใหม่ เพราะปริมาณออกใหม่คงไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่กังวลหุ้นกู้ที่ครบกำหนดต้องโรลโอเวอร์มากกว่า แต่ก็มองว่า บริษัทขนาดใหญ่ที่มีการออกหุ้นกู้จำนวนมาก ในภาพรวมตอนนี้ไม่ใช่บริษัทที่ไม่มีความมั่นคง และคงไม่ยอมปล่อยเกิดเรื่องหุ้นกู้ดีฟอลต์ จนเสียชื่อเสียง”
- รับศก.เสี่ยงขึ้น สร้างความกังวลหุ้นกู้ บจ.ใหญ่
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ด้วยผลกระทบจากความเสี่ยงเศรษฐกิจ ที่เพิ่มขึ้น และเรื่องธรรมาภิบาลของบริษัทขนาดใหญ่ที่ผ่านมา แน่นอนว่า ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน และได้สร้างความกังวลต่อหุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่เช่นกัน
ดังนั้น ที่ผ่านมาภาคตลาดทุนจับมือร่วมยกระดับบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) เสริมแกร่ง สร้างโอกาสการเติบโต และมีธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น
ขณะที่สมาคมฯ เปิดเผยนำข้อมูลที่ บจ.เปิดเผยข้อมูลทางการเงินต่อสาธารณชนผ่านระบบของ ตลท.มาแจ้งเตือนนักลงทุนด้วยการขึ้นเครื่องหมายต่างๆ และเผยแพร่ข้อมูลเร็วขึ้น รวมถึงนำเสนอในรูปแบบเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลงบการเงินเพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงและวิเคราะห์ข้อมูลได้ถูกต้องครบถ้วน
ขณะเดียวกัน หากพิจารณาหนี้สินต่ออีบิทด้า จากข้อมูลของสมาคมฯ ที่สำรวจอุตสาหกรรมที่มีการออกหุ้นกู้จำนวนมากที่สุด ในปี 2566 (มีการรายงานล่าสุด ณ ก.ค.2567) พบว่า กลุ่มพลังงานเฉลี่ยที่ 5.9 เท่า , กลุ่มคอมเมิร์ซ เฉลี่ยที่ 5.2 เท่า , กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เฉลี่ยที่ 5.15 เท่า และกลุ่มธนาคารจะมีค่าเฉลี่ยค่อนข้างสูงเช่นกัน ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการออกหุ้นกู้จำนวนในภาพรวม จะมีค่าเฉลี่ยดังกล่าวที่ค่อนข้างสูง
“ขณะเดียวกันภาพรวม 10 อันดับบริษัทขนาดใหญ่ ที่มีการออกหุ้นกู้สูงสุดของสมาคมฯ พบว่า ฐานะการเงินยังมีความมั่นคง และมีธรรมาภิบาลที่ดี ไม่น่าเป็นห่วง เช่น กลุ่มปตท. และกลุ่มปูนซิเมนต์ไทย และที่ผ่านมาในภาพรวมแม้จะมีผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่บริษัทเหล่านี้ยังมีการปรับกลยุทธ์และผลประกอบการก็ยังมีความมั่นคง หุ้นกู้ยังไม่ได้รับผลกระทบ”







