‘กองรีทโครงสร้างพื้นฐาน’ เนื้อหอม ปันผลเด่น ท่ามกลางตลาดป่วน-ดอกเบี้ยขาลง

ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันหนัก กองทุนรีท และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และให้ผลตอบแทนสูงถึง 5-10%
ในภาวะ “ตลาดหุ้นไทย” ยังเผชิญแรงกดดัน “กองทุนรีท” และ “กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน” กลับแข็งแกร่ง หลังเม็ดเงิน “นักลงทุน” ไหลเข้าต่อเนื่อง จากความไม่แน่นอนของ “สงครามการค้า” และอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ “ขาลง” โดยบรรดา “กูรู” ระบุว่า กองทุนดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และให้ผลตอบแทนสูงถึง 5-10%
“วิน พรหมแพทย์” CFA ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และ กองทุน REIT ที่กำลังมีกระแสเงินทุนไหลเข้า และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นเทรนด์ “ขาลง” และกองทุนดังกล่าวให้ “ผลตอบแทน” ที่โดดเด่นกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ โดยมีการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยที่สูงมากตั้งแต่ 6-10% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่ปัจจุบันต่ำกว่า 2%
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลงค่อนข้างลึก แต่ทว่ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานและกองทุน REIT ปรับตัวลงไม่ลึกมากนัก และสามารถประคองตัวได้ดีกว่ามาก ทำให้ตอบโจทย์นักลงทุนที่กำลังมองหาสินทรัพย์ที่เปรียบเสมือนเป็น “หลุมหลบภัย” ที่ยังให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในภาวะที่ผันผวน
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงมาลึก แต่มีเสน่ห์ที่ชัดเจนในเรื่องของ “เงินปันผล” ซึ่งคล้ายคลึงกับประเทศสิงคโปร์ที่แม้จะมีสินทรัพย์ไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีการจ่ายเงินปันผลที่สูง ดังนั้น การมองหาสินทรัพย์ที่ให้เงินปันผลดี กองทุนดังกล่าวจึงตอบโจทย์ได้ดีมาก
นอกจากนี้ หากสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าแย่ลงอย่างต่อเนื่อง เงินลงทุนอาจไหลออกจากสหรัฐเข้ามาสู่ตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market และประเทศไทยสามารถใช้จุดแข็งของหุ้นปันผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุน REIT และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติได้
โดยจังหวะนี้ นักลงทุนอาจทยอยเข้าไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกอง REIT และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้มีสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนอย่างน้อย 5% เนื่องจากถือเป็นสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ
“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุน REIT กลับมาน่าสนใจอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ผลตอบแทนกองทุนดังกล่าวมักจะ Underperform และไม่น่าสนใจ ทำให้ข่าวร้ายได้ถูก price in ไปในระดับหนึ่งแล้ว
ขณะที่ เมื่อเศรษฐกิจเริ่มมีปัญหา คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยลงในครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้มีโอกาสปรับตัวลดลง ในขณะที่ยีลด์ของกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่น่าสนใจ ทำให้เกิดส่วนต่างที่กว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ส่วนต่างสูงที่สุดในรอบ 2-3 ปี ส่วนผลตอบแทนก็กลับมาน่าดึงดูด เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4-6% ซึ่งถือว่าจ่ายได้ดี
“แนวโน้มว่าผลตอบแทนตราสารหนี้และดอกเบี้ยจะต่ำลง ก็จะเริ่มโยกเงินจากตราสารหนี้เข้ามาสู่ Property Fund และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานในไทย ขณะที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกเริ่มมีเงินไหลเข้าทั้งหมด ซึ่งจังหวะนี้ถือว่า เป็นธีมใหญ่ของโลกในครึ่งปีหลัง ที่นักลงทุนยังมีความกังวลจากภาวะความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีทรัมป์ ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมาหาสินทรัพย์ที่เป็น Defensive มากขึ้น ซึ่งไทยก็ได้รับประโยชน์นี้ด้วยเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนให้ทยอยเข้าสะสมได้ เพราะเป็นสินทรัพย์ Defensive ที่น่าสนใจ หากมองว่า downside ของหุ้นไทยอาจจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,000 จุด หรือ ใกล้เคียงช่วงโควิด และไม่มีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่ดี การลงทุนใน Defensive Play อย่าง Infrastructure Fund ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกองทุนในไทยที่มีความน่าสนใจเพราะสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ที่ของทั้งโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3% ขณะที่กองทุนโครงสร้างพื้นฐานในไทยบางหลักทรัพย์อาจให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่ 5%
“บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลต่อไปว่า ในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่า Property Fund และ REIT ของไทยจะยังคงติดลบเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก แต่ผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปี 2568 ถือว่าติดลบน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย โดยกองทุน REIT ติดลบประมาณ 7% ในขณะที่หุ้นไทยติดลบมากกว่า 14% ซึ่งถือว่าเป็นอีกเห็นผลหนึ่งที่ทำให้กองทุนดังกล่าวกลับมา Outperform
ขณะที่ ผลตอบแทนเงินปันผลของกองทุนดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 9.9%-10% ในขณะที่หุ้นไทยโดยรวมมีประมาณการเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 4-4.5% เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า เงินปันผลที่คาดหวังจากกองทุน Property Fund และ REIT สูงเกือบ 2 เท่าของหุ้นไทย
“แม้ว่า Property Fund และกองทุน REIT จะมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นเนื่องจากมีการกระจุกตัวของทรัพย์สินมากกว่า แต่ในสภาวะที่ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งภายในประเทศเศรษฐกิจ และการเมือง รวมถึงปัจจัยภายนอกอย่าง สงครามการค้า ทำให้ Property Fund และ REIT กลับความผันผวนน้อยกว่าและให้ผลตอบแทนที่สูง ขณะที่ กระแสเงินสดจากค่าเช่าที่ยังคงอยู่ และค่อนข้างนิ่ง ซึ่งถือเป็นจุดแข็งสำคัญในช่วงภาวะเศรษฐกิจผันผวน”
ทั้งนี้ จากผลตอบแทนของกองทุนดังกล่าวได้ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของเดือนเม.ย. 2568 ช่วงประมาณวันที่ 9 เม.ย. 2568 จนถึงปัจจุบันการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากความไม่แน่นอนสูงจากการประกาศใช้ภาษีของสหรัฐฯ นักลงทุนจึงพยายามมองหาการลงทุนที่มีความแน่นอน อย่างไรก็ตามกองทุน Global Infrastructure Fundsบวกขึ้น 14-15% ขณะที่กองทุนดังกล่าวของไทยกลับยังคงติดลบอยู่







