รักยาวให้บั่น

รักยาวให้บั่น

ผู้จัดการกองทุนของเวียดนาม เผยการรัฐบาลเวียดนามเตรียมปฎิรูปประเทศโดยกำลังพยายามเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบราชการ โดยจะลดตำแหน่งงาน 100,000 ตำแหน่งภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ และวางแผนจะลดอีก 700,000 ตำแหน่งภายในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อเตรียมรับอนาคต

สัปดาห์ที่แล้วได้ไปฟังสัมมนาเกี่ยวกับการบริหารความมั่งคั่ง ผู้จัดการกองทุนของเวียดนาม ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศของเวียดนาม ว่ารัฐบาลเวียดนามกำลังพยายามเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบราชการ โดยจะลดตำแหน่งงาน 100,000 ตำแหน่งภายในเดือนสิงหาคมปีนี้ และวางแผนจะลดอีก 700,000 ตำแหน่งภายในอีก 5 ปีข้างหน้า คือ ปี 2573 นอกจากนี้ยังจะยุบกระทรวงอีก 5 กระทรวง และหน่วยงานอีก 950 หน่วย ครึ่งหนึ่งขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และ 70% ของหน่วยงานท้องถิ่นจะถูกควบรวมกัน ลดจำนวนจังหวัดจาก 63 เหลือ 34 และจะยกเลิกหน่วยงานปกครองระดับเขต 696 แห่ง ยกเลิก 70% ของการบริหารงานแบบคอมมูน รวมถึงยุบหรือควบรวมหน่วยงานของพรรคคอมมิวนิสต์ และควบรวมสื่อของรัฐและพรรคอีกหลายหน่วยงาน

แผนทั้งหมดนี้ เป็นไปเพื่อปฏิรูปการบริหารงานของระบบราชการและพรรคคอมมิวนิสต์ โดยกำลังวางยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว จึงต้องกำจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่างๆ โดยเฉพาะระบบที่ต้องมีการสั่งการหลายชั้นหลายขั้นตอน

การทำงานในปัจจุบัน ไม่ว่าจะอยู่ในวงการใด มีความจำเป็นต้องมีการประสานงานและร่วมมือกันมากขึ้น เพราะโจทย์ซับซ้อนขึ้น หมดสมัยที่จะสร้างกำแพงแบ่งเขตแดนระหว่างหน่วยงานไปนานกว่าสามสิบปีแล้ว ยิ่งเราต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เรายิ่งต้องสามารถคิด ปรับตัว ทำงาน ตัดสินใจ และเปลี่ยนแปลง แข่งกับเวลาให้รวดเร็วตาม แต่ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงใดๆจะต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ มีการวางขั้นตอนในการตรวจสอบและคานอำนาจกัน (Check and Balance) เข้าไปในกระบวนการทำงานด้วย เพื่อไม่ให้เกิดจุดอ่อนที่จะทำให้เกิดผิดพลาด และความเสียหาย  ทั้งนี้อย่าฝังใจว่า ความ“รอบคอบ” ต้องผูกคู่ไปพร้อมกับความ“เชื่องช้า”นะคะ รอบคอบก็ทำเร็วได้ถ้าวางแผนดี เปรียบเสมือนการก่อสร้างค่ะ คิดให้รอบคอบ ออกแบบให้ดี ใส่ใจในรายละเอียด เวลาสร้างจริงจะได้เร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่เสียเวลามาแก้ไขหน้างาน

สรุปคือภาครัฐของเวียดนามลงมือปฏิรูปตัวเองแล้ว เพื่อเตรียมรับอนาคต

พอได้รับทราบข้อมูลนี้ ดิฉันก็หาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบไทยกับเวียดนาม เพราะเขากำลังตามเรามาติดๆ แบบที่เรียกว่าหายใจรดต้นคอเรา และเพื่อไม่ให้มีความลำเอียง จึงใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์(เอไอ)ด้วย

จากข้อมูลของเอไอสรุปว่า ตอนนี้เวียดนามเป็นเศรษฐกิจที่จรัสแสงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีจุดเด่นคือ มีทำเลที่ตั้งดี เป็นเส้นทางเดินเรือหลัก และใกล้จีน มีข้อตกลงการค้ากับหลายกลุ่ม มีประชากรวัยทำงานจำนวนมาก (ประมาณ 69%) และอายุยังน้อย (มัธยฐานอยู่ที่ 32 ปี) มีระบบการเมืองแบบพรรคเดียว ทำให้สามารถคาดหมายนโยบายได้ และมีการวางยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศระยะยาว ผ่านแผน 5-10 ปี เป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออก สินค้าหลักคือ อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ รองเท้า และมีสัดส่วนอุปกรณ์ชิ้นส่วนไฮเทคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้รับผลดีจากการย้ายฐานผลิตจากจีน รัฐบาลให้การสนับสนุนเรื่องดิจิทัลและอุตสาหกรรม 4.0 ฟินเทคและอีคอมเมิร์ซโตเร็ว

จุดอ่อนและความเสี่ยงประกอบด้วย โครงสร้างพื้นฐานทางการขนส่งและโลจิสติกส์ ยังเป็นรองไทย มาเลเซีย และจีน พลังงานไฟฟ้าไม่เพียงพอ เนื่องจากอุตสาหกรรมขยายตัวเร็ว มีระบบราชการที่ยุ่งยากซับซ้อน อาจทำให้ผู้ลงทุนต่างชาติหันหนีไป และแม้จะมีการต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่การบังคับใช้ยังไม่เท่าเทียม การเติบโตของอุตสาหกรรมก่อให้เกิดมลภาวะ น้ำขาดแคลน และการตัดไม้ทำลายป่า เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกและเงินลงทุนจากต่างประเทศค่อนข้างสูง ต้องพัฒนาห่วงโซ่อุปทานและระบบนิเวศในประเทศเพิ่ม แม้จะมีแรงงานหนุ่มสาว แต่ยังขาดกลุ่มไฮเทค การฝึกงานภาคอาชีวะและการลงทุนเรื่องวิจัยและพัฒนายังต่ำ

แต่มีข้อดีคือคนขยัน ทำงานหนัก และมีความสนใจเป็นผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น และคนเปิดรับและใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลรวดเร็ว นอกจากนี้ชาวเวียดนามโพ้นทะเลกลุ่มใหญ่ยังนำเงินทุน เทคโนโลยี และประสบการณ์ระดับนานาชาติเข้ามาในประเทศด้วย

ดิฉันก็เลยถือโอกาสให้เอไอวิเคราะห์ประเทศไทยเปรียบเทียบกับเวียดนาม

ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่หลากหลาย ทั้งยานยนต์ การเกษตร อิเล็กทรอนิกส์ ท่องเที่ยว และอาหาร ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมกว้างขวางทั้ง ทางทะเล ถนน และสนามบิน เป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีเป้าหมายที่จะขยับไปยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี)และเซมิคอนดักเตอร์ มีชื่อเสียงระดับโลกในด้าน อุตสาหกรรมบริการต้อนรับ(Hospitality) อาหาร และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีระบบถนนและขนส่งทางรางที่ครอบคลุม และมีระบบเครือข่ายดิจิทัลที่กำลังขยาย มีข้อตกลงการค้ากับหลายกลุ่ม มีกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางทางการเงินแนวหน้าของอาเซียน ภาคการธนาคารแข็งแกร่งและ ระบบนิเวศของฟินเทคกำลังขยายตัว

จุดอ่อนและความเสี่ยงคือ ประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย อัตราการเกิดต่ำ อัตราการพึ่งพา (คนทำงาน)สูง และขาดแคลนแรงงาน การเมืองไม่มีเสถียรภาพ วนเวียนอยู่กับการปฏิวัติ การประท้วง และนโยบาย(รัฐบาล)ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุน ระบบราชการที่ติดขัดอาจทำให้การปฏิรูปทำได้ช้า  รายได้ประชาชาติต่อหัว (GDP per Capita) ติดอยู่ในระดับ 7,000 เหรียญสหรัฐ ทำให้ไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูง การวิจัยและพัฒนายังเป็นไปอย่างจำกัด ความพยายามขยับให้มีมูลค่าเพิ่มมากกว่าการประกอบสินค้าและการท่องเที่ยว เป็นไปอย่างทุลักทุเล ประชากรชนบทและในเมืองมีการแบ่งแยกอย่างเห็นได้ชัด ระบบการศึกษาไม่สามารถพัฒนาทักษะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษและทักษะทางดิจิทัล มลภาวะ น้ำ และการท่องเที่ยวที่เกินขีดจำกัด อาจทำให้ไม่เกิดความยั่งยืน ประชากร 66 ล้านคน และกำลังลดลง ประชากรสูงวัยมีสัดส่วน 20% คนมีจิตใจเป็นผู้ให้บริการสูง มีความคิดสร้างสรรค์ และมีการต้อนรับขับสู้ที่ดี ปกติไม่ชอบความเสี่ยง แต่ก็มีกลุ่มคนรุ่นใหม่สนใจเป็นผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น การพัฒนาความสามารถพิเศษจะอยู่ในกลุ่ม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (สื่อ อาหาร แฟชั่น)  ไม่ได้ใช้ศักยภาพให้เป็นประโยชน์เท่าที่ควร และยังล้าหลังทางด้านเอไอ และการผลิตชั้นสูง

เอไอ บอกว่าแนวโน้มการเติบโตหลักของไทยอยู่ที่ การเป็นประเทศที่เน้นการบริการ การท่องเที่ยว โลจิสติกส์ บริการสุขภาพ มากกว่า อุตสาหกรรมหนัก และถ้ามีการดูแลสิ่งแวดล้อมดี การท่องเที่ยวธรรมชาติ อาหารออแกนิค และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพก็จะไปได้ดี หาก EEC ประสบความสำเร็จ ก็จะช่วยให้เราเป็น ศูนย์กลางของโลจิสติกส์และยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ส่วนเราจะเป็นผู้นำหรือผู้ตามเกี่ยวกับเรื่องไฮเทค ก็จะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการปรับปรุงการศึกษาของเรา การดึงดูดเงินลงทุนที่ใช้ทักษะสูง รวมถึงการดึงดูดและรักษาคนที่มีความสามารถโดดเด่นในเรื่องเทคโนโลยี

เอไอมองการเมืองเป็นเรื่องที่ฉุดรั้งศักยภาพของไทย และเมื่อเราแก้ไขได้แล้ว การพัฒนาต่อไป ต้องไม่ทิ้งประชากรในชนบทไว้เบื้องหลัง ต้องพาเขาเติบโตไปกับประเทศด้วย