หุ้นกู้‘ไฮยีลด์’เสี่ยงยืดหนี้เพิ่ม ThaiBMA จับตา พลังงาน-อสังหา

หุ้นกู้‘ไฮยีลด์’เสี่ยงยืดหนี้เพิ่ม  ThaiBMA จับตา พลังงาน-อสังหา

ไทยบีเอ็มเอ” จับตาครึ่งหลังปี 68 คาดแนวโน้ม “หุ้นกู้ไฮยีลด์” เสี่ยง “ขอยืดหนี้เพิ่ม” สารพัดปัจจัยลบลากยาว ฉุดเศรษฐกิจชะลอตัวกระทบธุรกิจ พลังงาน-อสังหาฯ

นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ความไม่แน่นอนเป็นความเสี่ยงเพิ่มขึ้น จากความขัดแย้งในตะวันออกกลางและการเมืองในประเทศ ใน “ระยะสั้น” ไม่ได้สร้างแรงกดดันโดยตรงต่อ “ตลาดตราสารหนี้ไทย” โดยเฉพาะตลาดหุ้นกู้ในทันที

แต่หากทั้งสองสถานการณ์ “ลากยาว” จนกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและผลประกอบการภาคธุรกิจต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยและต้นทุนพลังงาน เช่น “กลุ่มพลังงาน” จากปัจจุบันกลุ่มที่มีปัญหาค่อนข้างมาก คือ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ยังมีการติดตามอย่างใกล้ชิด

หุ้นกู้‘ไฮยีลด์’เสี่ยงยืดหนี้เพิ่ม  ThaiBMA จับตา พลังงาน-อสังหา

 

ในครึ่งปีหลัง 2568 ประเมินแนวโน้มการหุ้นกู้ขอยืดระยะเวลาชำระหนี้คืนเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อประคับประคองธุรกิจ น่าจะยังมีให้เห็นอยู่ต่อเนื่อง ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเผชิญความไม่แน่นอนสูงทั้งจากปัจจัยในและนอกประเทศ

“เพียงแต่ว่าในมุมมองของผู้ลงทุนหุ้นกู้ แค่ขอให้ผู้ออกหุ้นกู้ มีความตั้งใจในการแก้ไข เพื่อประคองธุรกิจผ่านพ้นไปได้จริงๆ หรือหากยังมีเงินสดและทรัพย์สินอยู่บ้าง ไม่ควรมาใช้วิธีการยืดชำระหนี้ถือว่าไม่เหมาะสมกับผู้ถือหุ้นกู้”

จากข้อมูลจากเว็บไซต์สมาคมฯ ณ ม.ค.-24 มิ.ย.2568 พบ หุ้นกู้ผิดนัดชำระ (DP) รวม 2,009 ล้านบาท จากผู้ออก 4 ราย (ม.ค. CV1 รุ่น 425 ล้านบาท,ก.พ. WTX 1 รุ่น 408 ล้านบาท,มี.ค. CHO 4 รุ่น 745 ล้านบาทล่าสุดมิ.ย. GRAND รุ่น 300 ล้านบาท และCV 1 รุ่น 131 ล้านบาท) จากปี 2567 มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ จากผู้ออก 5 ราย มูลค่า 3,172 ล้านบาท และปี 2566 มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ จากผู้ออก 5 ราย มูลค่า 16,363 ล้านบาท

ด้าน “หุ้นกู้ที่เลื่อนกำหนดชำระ” (RS) รวม 14,828.82 ล้านบาท จากผู้ออก 15 ราย (ม.ค. RICHY* 6 รุ่น 1,534 ล้านบาท,ก.พ. CV 1 รุ่น 452 ล้านบาท CGD 1 รุ่น 789 ล้านบาท JCK 1 รุ่น 928 ล้านบาท PRIME* 4 รุ่น 2,050 ล้านบาท NRF* 1 รุ่น 1,300 ล้านบาท ,มี.ค. EP* 1 รุ่น 1,030 ล้านบาท TPOLY* 1 รุ่น 360 ล้านบาท ECF 1 รุ่น 389 ล้านบาท , เม.ย. ECF 6 รุ่น 597 ล้านบาท GRAND 1 รุ่น 881.4 ล้านบาท PF 3 รุ่น 2,729 ล้านบาท , พ.ค. B* 1 รุ่น 92 ล้านบาท JTS* 1 รุ่น 421.9 ล้านบาท ล่าสุด CGD 3 รุ่น 713.32 ล้านบาท SQ 1 รุ่น522.5 ล้านบาท)

โดยผู้ออก 7 ราย ได้แก่ RICHY,PRIME,NRF,EP,TPOLY ,B และ JTS เพิ่งเคยเลื่อนกำหนดชำระในปี 2568 จากปี 2567 มีหุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระจากผู้ออก 17 ราย มูลค่า 37,963 ล้านบาท ปี 2566 มีหุ้นกู้เลื่อนกำหนดชำระจากผู้ออก 14 ราย มูลค่า 12,443 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังติดตามข้อมูลหุ้นกู้ที่ใกล้จะครบกำหนด เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลไปถึงนักลงทุนได้เร็วขึ้น พบส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดกลางและเล็ก ไม่มีชื่อเสียงมากนัก และเมื่อสถานการณ์ไม่เอื้อจะเริ่มเห็นการเตรียมการแก้ไขปัญหาสภาพคล่อง เช่น ขอยืมเงินกรรมการหรือการขายทรัพย์สินออกมาก่อน เพื่อนำมาชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับผู้ถือหุ้นกู้

หรือขอการเจรจาประชุมผู้ถือหุ้นกู้ มีการเตรียมแผนการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อขอยืดระยะเวลาชำระหนี้ โดยจ่ายเพิ่มดอกเบี้ยให้ แต่ช่วยลดภาระหนี้ในช่วงที่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดีกว่า ปล่อยให้หุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ หรือผู้ออกบางแห่งปล่อยล้มละลาย เข้าแผนฟื้นฟู ใช้เวลานานกว่าจะชำระหนี้ได้ พฤติกรรมไม่ได้ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา

“ผู้ออกหุ้นกู้ที่ขอยืดนี้ จะพบว่า เห็นความพยายาม จะประคองธุรกิจไว้และพยายามจะจ่ายเงินคืน ดีกว่าบางบริษัทที่ปล่อยล้มไป เพื่อมาอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายเข้าแผนฟื้นฟู ไม่ต้องชำระหนี้ ใช้ระยะเวลานาน 2-3 ปี ยังไม่ออกจากแผน ยังจ่ายเงินไม่ได้เลย”

แต่หากเป็นบริษัทขนาดใหญ่สามารถออกหุ้นกู้และเสนอขายได้ตามปกติ ในภาวะดอกเบี้ยปรับตัวลงยังสามารถเปรียบเทียบต้นทุนสินเชื่อธนาคารกับการออกหุ้นกู้ได้

ทั้งนี้ สมาคมฯ ได้สอบถามไปยังผู้ออกหุ้นกู้ล่วงหน้าเป็นเดือนว่า เมื่อถึงเวลาแล้วบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ จะมีความสามารถชำระหนี้หรือไม่ และเงินที่จะชำระหนี้จะมาจากไหน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือทั้งจากฝั่งผู้จัดจำหน่าย นายทะเบียนผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้หลายรายให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม

สำหรับยอดออกหุ้นกู้ใหม่ปีนี้ ณ ม.ค.-24 มิ.ย. 2568 มียอดออกหุ้นกู้ใหม่แล้ว 378,000 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 462,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ยอดออกลดลงในกลุ่มหุ้นกู้ไฮยีลด์ แต่ยังคงเป้าหมายยอดออกหุ้นกู้ใหม่ในปีนี้ที่ 900,000 ล้านบาท

เนื่องจากมองว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่ออกเสนอขายหุ้นกู้ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบปีนี้ และภาวะดอกเบี้ยขาลง ยังเป็นโอกาสที่จะระดมทุนเพิ่มได้ แต่ภาคธุรกิจระมัดระวังและประคองตัว และเมื่อเกิดสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยลบ บอนด์ยีลด์จะปรับตัวลง สะท้อนนักลงทุนกลับไปหาตลาดสินทรัพย์ปลอดภัย 

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในเดือนมิ.ย. นี้ พบหุ้นกู้ดีฟอลต์และยืดหนี้เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นอยู่ในกลุ่ม ไฮยีลด์ สะท้อนว่า เริ่มเห็นสัญญาณความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ยังมีความเสี่ยงเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ ทั้งจากความไม่แน่นอนสูงทั้งการเมืองในประเทศและการเจรจาภาษีทรัมป์

กลยุทธ์กองทุน เลี่ยงลงทุนหุ้นกู้กลุ่ม investment ระดับ BBB ,BBB- เพราะหากไม่สามารถชำระหนี้ได้ กลุ่มนี้เสี่ยงถูกดาวน์เกรด เป็นไฮยีลด์ได้เช่นกัน ดังนั้นต้องเลือกตัวที่มีคุณภาพมากขึ้น ระดับ A- ขึ้นไป รวมถึงพิจารณาแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ และกำไรจากธุรกิจหลักที่ไม่ใช่กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือการขายสินทรัพย์ และระวังกลุ่มเซ็กเตอร์ที่เกี่ยวกับวัฏจักรเศรษฐกิจ