กนง.เมินครึ่งหลัง ‘เศรษฐกิจทรุด’ เพิ่มเป้า ‘จีดีพี’ โต 2.3%

กนง.เมินครึ่งหลัง ‘เศรษฐกิจทรุด’  เพิ่มเป้า ‘จีดีพี’ โต 2.3%

กนง.คงดอกเบี้ย 1.75% ชี้เป็นระดับผ่อนคลายหนุนเศรษฐกิจ ย้ำเก็บกระสุนใช้ยามจำเป็น พร้อมปรับจีดีพีเพิ่มเป็น 2.3% หลังครึ่งแรกเศรษฐกิจ “ส่งออก-การผลิต” ดีกว่าคาด

KEY

POINTS

  • กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียงให้ คงดอกเบี้ย ไว้ที่ 1.75% ขณะที่ 1 เสียง ให้ลดดอกเบี้ย 0.25% เพื่อช่วยกลุ่มเปราะบาง
  • กนง.ย้ำต้องรอประเมินผลนโยบายการเงินเดิม ก่อนจะตัดสินใจใช้นโยบายเพิ่ม
  • ชี้ “กระสุนมีจำกัด” (policy space) จึงต้องใช้อย่างรอบคอบ
  • ชี้ เศรษฐกิจครึ่งปีแรก 2568 ขยายตัว 2.9% ดีกว่าคาดแต่ครึ่งปีหลัง แนวโน้มชะลอ เทียบไตรมาสเหลือโตแค่ 0.1%
  • ส่งผล ปรับเพิ่มจีดีพี ทั้งปี 2568 เป็น 2.3% จาก 2%  และเชื่อปีนี้จีดีพีโตไม่ต่ำกว่า 2%, แต่ปี 2569 อาจชะลอเหลือเพียง 1.7%
  • ห่วง เอสเอ็มอี NPL เพิ่มขึ้น จากความเสี่ยงด้านเครดิตสินเชื่อบ้าน เริ่มเห็นสัญญาณคุณภาพลดลง ภาวะการเงินตึงตัว  
  • จับตา 3 ปัจจัยใกล้ชิด พฤติกรรมการปล่อยสินเชื่อของแบงก์ ผลกระทบจากสงครามการค้าโลก ความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์การเมืองในประเทศ

 

กนง.เมินครึ่งหลัง ‘เศรษฐกิจทรุด’  เพิ่มเป้า ‘จีดีพี’ โต 2.3% ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2568 มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง “คงดอกเบี้ย” ที่ระดับ 1.75% โดย กนง.เน้นความสำคัญของจังหวะเวลา และประสิทธิผลของนโยบายการเงิน

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่คาดชะลอตัวในระยะข้างหน้า ขณะที่ 1 เสียง ให้ลดดอกเบี้ย 0.25% เพื่อบรรเทาภาวะการเงินของกลุ่มเปราะบางให้ปรับตัวได้ง่ายขึ้น

นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ กนง.กล่าวว่า นโยบายการเงินควรอยู่ระดับผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ โดยการลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งนับตั้งแต่ปลายปี 2567 ช่วยผ่อนคลายภาวะการเงิน และลดต้นทุนการเงินได้บ้าง

โดยคาดผลการลดดอกเบี้ยเริ่มเห็นเต็มที่ไตรมาส 3-4 ปีนี้ ดังนั้น ผลนโยบายการเงินที่ดำเนินการไปแล้วยังคงมีอยู่ และต้องรอการประเมินผลอีกระยะหนึ่ง

ทั้งนี้ กรรมการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ และเลือกคงอัตราดอกเบี้ย คือ ไทม์มิ่งหรือจังหวะเวลาที่เหมาะสม และประสิทธิผลของการดำเนินนโยบาย เพราะ กนง.ทราบดีว่าเศรษฐกิจข้างหน้าชะลอตัวแน่นอน

อีกทั้ง “กระสุน” หรือ Policy Space มีจำกัดจึงต้องพิจารณาการใช้เครื่องมือที่มีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และรอจังหวะเหมาะสมที่สุด หากจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยอีก และ กนง.พร้อมประเมินสถานการณ์ และปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อระยะข้างหน้า

รวมทั้ง กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งแรกปี 2568 ขยายตัวดีกว่าที่คาด โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวภาคการผลิต และการเร่งส่งออกสินค้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ บวกกับเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1-2 ดีกว่าที่ ธปท.ประเมินไว้ ดังนั้น มองเศรษฐกิจครึ่งปีแรกจะขยายตัว 2.9%

ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอชัดเจน โดยปัจจัยเสี่ยงหลักมาจากความไม่แน่นอนของการค้าโลก โดยเฉพาะสงครามการค้า รวมถึงความเสี่ยงทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ กนง.มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง เทียบไตรมาสต่อไตรมาสจะลดลงค่อนข้างแรก มาอยู่เพียง 0.1% เท่านั้น จากเดิมที่โมเมนตัมเศรษฐกิจอยู่ที่ 0.6% หรือหากเทียบศักยภาพในอดีตที่เคยเติบโต 0.7-0.8%

เศรษฐกิจชะลอตัวลากยาวถึงปี 69

นอกจากนี้ กนง.กังวลการชะลอตัวเศรษฐกิจจะต่อเนื่องถึงปี 2569 ทำให้ปี 2569 เติบโตต่ำกว่าปีนี้เพียง 1.7% เป็นการชะลอค่อนข้างมาก

ซึ่ง กนง.ยังมั่นใจจีดีพีปี 2568 ไม่ต่ำกว่า 2% เพราะการที่เศรษฐกิจจะเติบโตต่ำกว่า 2% ต้องเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (technical recession) หรือการติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน

หากย้อนดูช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ภาวะนี้เกิดขึ้น 4 ครั้ง คือ วิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 วิกฤติการเงินโลกปี 2008 ช่วงความไม่สงบทางการเมือง ช่วงโควิด-19 ซึ่งเป็นช็อกใหญ่ของเศรษฐกิจไทย และส่วนใหญ่มาจากช็อกจากต่างประเทศร่วมด้วย เช่น Global Recession แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นภาพนี้

ส่วนการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวรวมลดลง แต่หากดูรายรับการใช้จ่ายรวมจากนักท่องเที่ยวยังดี ดังนั้นผลกระทบอาจไม่มาก โดย กนง.ลดนักท่องเที่ยวลงเหลือ 35 ล้านคน และปีหน้าลดลงเหลือ 38 ล้านคน

  • ห่วงคุณภาพหนี้เอสเอ็มอี-หนี้บ้าน

รวมทั้ง กนง.ห่วงสถานการณ์สินเชื่อ และคุณภาพสินเชื่อที่มีแนวโน้มแย่ลง โดยสินเชื่อรวมหดตัวต่อเนื่อง 3-4 ไตรมาส ดังนั้นต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษที่สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อที่อยู่อาศัย

โดยเฉพาะสินเชื่อเอสเอ็มอี ที่มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) สูงขึ้นเพราะความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ของเอสเอ็มอีสูงขึ้น

นอกจากนี้ ยังพบความต้องการสินเชื่อลดลงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินเชื่อรวมหดตัว เพราะผู้ประกอบการไม่แน่ใจจะผลิตหลังไม่มีคำสั่งซื้อ

อีกทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูงขึ้นทำให้ประชาชน และธุรกิจชำระหนี้เพิ่มขึ้น แม้การให้สินเชื่อใหม่สูงขึ้น แต่การชำระคืนหนี้สูงกว่าทำให้สินเชื่อสุทธิหดตัว

  • กนง.จับตา 3 ปัจจัยใกล้ชิด

ประเด็นสำคัญที่ กนง.จะติดตามใกล้ชิด 1.การขยายตัว และคุณภาพของสินเชื่อ โดยเฉพาะพฤติกรรมแบงก์ในการปล่อยสินเชื่อสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจเพียงใด 

2.ผลกระทบจากสงครามการค้า แม้อยู่ภายใต้สมมติฐานการเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี และภาษีศุลกากรอยู่ระดับกลาง แต่ต้องจับตาดูว่าท้ายที่สุดแล้วการเจรจาจะนำไปสู่ผลในเชิงบวกหรือลบ รวมถึงการบานปลายของสงครามการค้า

3.ปัจจัยความเสี่ยงจากภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในประเทศ
สำหรับความเสี่ยงจากราคาน้ำมันอาจสูงขึ้นจากการสู้รบในตะวันออกกลาง

โดยหากปิดช่องแคบฮอร์มุซก็มีความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงขาขึ้นของเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อสูงขึ้นแรงจากปัจจัยอุปทาน แต่ไม่หมายความว่า ธปท.จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเสมอไป

ส่วนปัจจัยการเมืองเป็นอีกความเสี่ยงที่ ธปท.ให้ความสำคัญ แต่ยังไม่ใส่ไว้ในสมมติฐาน เพราะมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะผลกระทบหลักหากเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คือ งบประมาณที่อาจล่าช้าเหมือนปี 2566 มีผลต่อจีดีพีลดลง

ดังนั้นมุมมองจีดีพีอาจเปลี่ยนไป รวมถึงมุมผลกระทบความเชื่อมั่น และการลงทุนยังไม่ถูกรวมในประมาณการนี้

  • จ่อหั่น “จีดีพี” สวนทางแบงก์ชาติ

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า เตรียมลดประมาณการจีดีพีในปี 2568 จาก 1.7% มาอยู่ที่ 1.6%

สะท้อนเศรษฐกิจยังเผชิญความไม่แน่นอน และความท้าทายมากขึ้น ทั้งส่งออกที่ชะลอตัว และท่องเที่ยวซบเซา

ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการประเมิน แม้ส่งออกออกล่าสุดขยายตัว 18% แต่ผลการเร่งส่งออกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี หากดูการนำเข้าขยายตัวใกล้เคียงกันทำให้ดุลการค้าไทยเกินดุลเพียง 1,000 ล้านดอลลาร์

ส่วนภาคผลิตค่อนข้างแผ่วเห็นได้จากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1 ที่ส่งออกเติบโต 13% แต่ภาคผลิตกลับเติบโตเพียง 0.6% สะท้อนการไม่เพิ่มกำลังผลิตอย่างมีนัยสำคัญ แม้ไตรมาส 2 ภาคผลิตจะเติบโตดีขึ้น แต่ต้องตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของการเติบโต

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ล่าสุด ธปท.ปรับจีดีพีเพิ่มขึ้น แต่ไม่ควรมองแง่ดีเกินไป

แม้พัฒนาการเศรษฐกิจระยะต่อไปอาจเติบโตช้าลง แต่ยังไม่ถึงขั้นมีความเสี่ยงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค นอกจากนี้ปัจจัยการเมือง และงบประมาณยังพยุงสถานการณ์ได้ และไม่ใช่ตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจ
“บาทแข็ง” หลัง กนง.คงดอกเบี้ย 1.75%

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทวานนี้ (25 มิ.ย.68) ปิดที่ระดับ 32.62 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นเทียบกับระดับปิดตลาดวันที่ 24 มิ.ย.ที่ 32.67 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าขึ้นตามทิศทางหลายสกุลเงินเอเชีย และการฟื้นตัวขึ้นของ Risk sentiment

สวนทางเงินดอลลาร์ที่เผชิญแรงกดดันหลังมีรายงานบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน 
ทั้งนี้ กนง.มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75%

สอดคล้องคาดการณ์ของตลาด ซึ่งทำให้ไม่มีผลนักต่อการเคลื่อนไหวเงินบาทช่วงบ่ายก่อนปิดตลาด ขณะที่ทิศทางฟันด์โฟลว์วานนี้แม้ต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 2,651.53 ล้านบาท แต่สถานะอยู่ฝั่งขายสุทธิ พันธบัตรไทยใกล้เคียงกันที่ 2,493 ล้านบาท กรอบเคลื่อนไหวเงินบาทวันนี้ (26 มิ.ย.68) ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.45-32.70 บาทต่อดอลลาร์

  • วอลล์สตรีทเจอร์นัล’  ชี้คงดอกเบี้ยท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง

หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่า กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้เท่าเดิม โดยหยุดการลดอัตราดอกเบี้ยไว้ชั่วคราว แม้จะเผชิญความตึงเครียดทางการเมืองภายในประเทศที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง และความไม่แน่นอนจากต่างประเทศ ผลการประชุมครั้งนี้เป็นไปตามผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 7 คนจาก 11 คน

โดย WSJ ซึ่งคาดว่า กนง.คงอัตราดอกเบี้ยแม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับอัตราการเติบโต และเงินเฟ้อที่ซบเซาลง

“ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคของไทยนั้น สนับสนุนแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนจาก ธปท.อยู่แล้ว แม้ยังไม่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองรอบล่าสุด”

คริสตัล ตัน นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคาร ANZ ระบุในบันทึกล่าสุด WSJ ระบุว่าไทยกำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองระลอกใหม่ สมาชิกสำคัญของพรรคร่วมรัฐบาลลาออกทำให้การดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แขวนอยู่บนเส้นด้าย

  • เตือนไทยเสี่ยงซ้ำรอยวิกฤติงบประมาณ

ด้านทีมนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร Nomura กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้เศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเตือนถึงความเสี่ยงของการผ่านร่างงบประมาณที่ล่าช้าอีกครั้ง รวมถึงความเสี่ยงที่ไทยอาจถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ

เศรษฐกิจยังเผชิญอุปสรรคจากต่างประเทศเช่นกัน ภายใต้ภาษีศุลกากร “ตอบแทน” ของประธานาธิบดีทรัมป์ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้อาจได้รับผลกระทบ 36% หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้

ความปั่นป่วนทางการเมืองยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแออยู่แล้ว นักเศรษฐศาสตร์จาก Nomura เตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดการ ล่าช้างบประมาณอีกครั้ง และอาจนำไปสู่ การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือทางเครดิต

ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันต่างประเทศจากนโยบาย “ภาษีศุลกากรตอบโต้” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ โดยประเทศไทยอาจถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 36% หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้สำเร็จ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์