การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 ความมั่นใจบนความไม่แน่นอน

การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 ความมั่นใจบนความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอนคือธีมหลักของปี 2025 อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ความมั่นใจ ว่าตลาดจะกลับมาได้เสมออาจพบกับบททดสอบในช่วงครึ่งปีหลังจากประสบการณ์การวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดการเงินของผม จุดอ่อนสำคัญของการวิเคราะห์บนความไม่แน่นอนสูง คือท้ายที่สุดมักมีเหตุการณ์ใหม่นอกสมการเกิดขึ้นได้อีก

ขณะที่โลกการเงินกำลังสับสนกับทิศทางเศรษฐกิจ นโยบายการค้า การเงิน และการคลังสหรัฐพร้อมกัน ล่าสุดก็มีประเด็นสงครามตะวันออกกลางเข้ามาสร้างความปั่นป่วนเพิ่มเข้าไปอีก จนความไม่แน่นอนพุ่งทะยานขึ้นถึงขีดสุด

แต่แทนที่นักลงทุนทั่วโลกจะกลัวการลงทุน มุมมองของเหล่านักบริหารเงินล่าสุดจากรายงาน Fund Manager Survey (FMS) ของ Bank of America กลับพบว่าความกังวลลดลง เนื่องจากตลาดหุ้นปรับตัวขึ้น 

การลงทุนครึ่งปีหลัง 2025 ความมั่นใจบนความไม่แน่นอน

นักลงทุนส่วนใหญ่ เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายในทางบวก และความผันผวน จะไม่จบด้วยกรณีเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ และตลาดการเงินโลกต้องสงบสุขในที่สุด

คำถามสำคัญในช่วงครึ่งหลังปี 2025 คือความมั่นใจบนความไม่แน่นอนนี้ จะนำพานักลงทุนไปสู่จุดหมายปลายทางแบบไหนกันแน่

ความไม่แน่นอนแรก คือสงครามการค้า ที่คาดว่าจะนำเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ยุค Multipolar World ในที่สุด

ความมั่นใจเกินไปว่าการเจรจาการค้าจะต้องเกิดขึ้นแน่อาจเป็นความเสี่ยง 

เพราะอย่างน้อยที่สุด สหรัฐและจีนจะกลายเป็นสองกลุ่มการค้าที่จะแข่งขันกันต่อเนื่อง โอกาสกลับไปสู่โลกเสรี หรือ Globalization มีไม่มาก

สำหรับผลกระทบกับตลาด เหตุการณ์เปรียบเทียบในอดีตที่ใกล้เคียงที่สุด คือช่วงสงครามการค้ารอบแรก ปี 2018 หนึ่งปีให้หลังจากการตั้งกำแพงภาษีใส่กัน ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทองคำบวกต่อเนื่องจากการเป็น Safe Haven ขณะที่ราคาน้ำมันร่วงตามเศรษฐกิจ และหุ้นโลกปรับตัวลงเล็กน้อย 

ผมประเมินว่าความเหมือนในครั้งนี้คือนักลงทุนอาจเลือกถือสินทรัพย์ทางเลือกมากกว่าหุ้นหรือบอนด์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ แต่ความแตกต่างคาดว่าจะเป็นผลกระทบของกำแพงภาษีต่อ margin ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะในสหรัฐที่มีการเก็บภาษีการค้าสูงสุด

กลยุทธ์รับมือกับความมั่นใจเกินไปในประเด็นการค้าช่วงครึ่งปีหลัง ผมมองไปที่การปรับพอร์ต ออกจากธุรกิจที่ต้องพึ่งนโยบายการค้า ไปสู่กลุ่มการผลิตในประเทศ ที่คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการลงทุนใหม่ในแต่ละทวีป

ความไม่แน่นอนที่สอง คือสงครามตะวันออกกลาง แทบทุกครั้งเป็นความเสี่ยงระยะสั้น แต่จะกลับตัวมาเร็วแค่ไหนอยู่ที่ภาวะเศรษฐกิจหลังจากนั้น

ภาพสงครามกับตลาดการเงินที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ปัจจุบันมีด้วยกัน 4 ครั้งเช่นวิกฤติ Yom Kippur ปี 1973 สงครามอ่าวปี 1991 สงครามอิรักปี 2003 และความขัดแย้งระหว่าง Hamas–Israel ในปี 2023

ในอดีต ราคาน้ำมันที่เป็นตัวแปรหลักของความผันผวนมักปรับตัวขึ้นก่อนสงคราม และร่วงลงในช่วงหกเดือนหลังจุดเริ่มต้น

ครั้งนี้คล้ายกับปี 1991 มากที่สุด คือตลาดรับข่าวไปก่อนและนักลงทุนหวังให้สงครามจบเร็ว ตลาดดีดตัวกลับ 

อย่างไรก็ดี ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่ความไม่แน่นอนของประเทศใหญ่อย่างสหรัฐที่ไม่ได้มีความจำเป็นจะต้องเข้าร่วมเพื่อจบสงคราม ขณะที่ พื้นฐานเศรษฐกิจปัจจุบันกำลังสั่นคลอน 

อาจต้องเผื่อใจว่าสงครามมีแนวโน้มยืดเยื้อ และความผันผวนสามารถปะทุขึ้นอีกได้ทุกเมื่อ กลยุทธ์รับมือความไม่แน่นอนจากสงครามในรอบนี้ สำหรับผมจึงเป็นการกระจายการลงทุนมากขึ้น และแบ่งส่วนหนึ่งไปที่สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงสงครามอย่างน้ำมันดิบและทองคำ

ความไม่แน่นอนที่สามคือจุดจบของดอลลาร์ แทบทั้งตลาดมองไปทางเดียวกันว่าดอลลาร์ต้องอ่อนค่าในช่วงครึ่งหลังปี 2025 แน่ผลสำรวจ FMS ชี้ว่าตลาดลดน้ำหนักดอลลาร์มากที่สุดในรอบ 20ปี 

ครั้งสุดท้ายที่ตลาดเคยมีมุมมองเชิงลบกับดอลลาร์เท่านี้ ในอดีตคือช่วงปี 2005 ที่สหรัฐขาดดุลบัญชีการคลังจากการทำสงครามอิรัก นโยบายลดภาษีของ Bush และการกระจายทุนสำรองเข้าสู่สกุลเงินยูโรที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

ในมุมมองของผม แม้ดอลลาร์อาจอ่อนค่าตามที่ตลาดมั่นใจ แต่ความไม่แน่นอนอยู่ที่ระดับของการอ่อนค่าต่อจากนี้

เพราะถ้ามองจากพื้นฐานและความเสี่ยง ดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าได้อีกราว 5-10% จากระดับปัจจุบัน แต่ถ้ามองจาก position ที่ต่ำสุด โอกาสที่ดอลลาร์จะอ่อนไปกว่านี้คาดว่าจะมีไม่มาก หรือครึ่งหลังอาจเป็นจังหวะกลับตัวของดอลลาร์ด้วยซ้ำ 

ผมเชื่อว่าประเด็นที่จะกำหนดทิศทางของดอลลาร์ อยู่ที่อัตราดอกเบี้ยเทียบกับความคาดหวัง และความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจสหรัฐ 

ถ้าเฟดสามารถรักษาดอกเบี้ยระดับสูงไว้ได้ ขณะที่กำไรของบริษัทสหรัฐไม่ได้ชะลอตัวลงเร็ว ดอลลาร์อาจเซอร์ไพรส์ไม่อ่อนค่าในช่วงครึ่งหลังของปีได้เช่นกัน

โดยสรุป ความไม่แน่นอนคือธีมหลักของปี 2025 อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ความมั่นใจ ว่าตลาดจะกลับมาได้เสมออาจพบกับบททดสอบในช่วงครึ่งปีหลัง

จากประสบการณ์การวิเคราะห์เศรษฐกิจและตลาดการเงินของผม จุดอ่อนสำคัญของการวิเคราะห์บนความไม่แน่นอนสูง คือท้ายที่สุดมักมีเหตุการณ์ใหม่นอกสมการเกิดขึ้นได้อีก

สุดท้าย ตลาดจะกลับสู่ขาขึ้นได้เสมอ แต่จะเกิดขึ้นทันทีในครึ่งหลังของปี 2025 หรือไม่ อีกไม่นานเราจะได้รู้กันครับ