‘แบม-ชโย’ ชี้แบงก์จ่อหนี้เสียทะลัก5แสนล. โอกาสทอง ‘เอเอ็มซี’

จับตาสถานการณ์ “หนี้เสีย” ทุบประวัติศาสตร์ 1.5 ล้านล้าน หนักกว่าวิกฤติต้มย้ำกุ้งปี 40 “แบม” ชี้โจทย์เร่งแบงก์ขายหนี้ออกสู่ระบบ คาดเห็นทั้งปีขายทุบสถิติ 5 แสนล้านบาท
KEY
POINTS
- เอเอ็มซี ห่วงสถานการณ์ “หนี้เสีย” รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
- เอ็นพีแอลทั้งระบบอาจพุ่งแตะ 1.5 ล้านล้านบาท ภายในสิ้นปี สูงกว่าวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540
- ชี้ เป็นโอกาส & ความท้าทายของ ธุรกิจ AMC
- แต่การรับซื้อหนี้ต้อง “ระมัดระวัง” เพราะเศรษฐกิจยังเปราะบาง ลูกหนี้ขาดสภาพคล่อง การเก็บหนี้ยากกว่าที่เคย
แต่เหล่านี้อาจจะเป็น “ปีทอง” หรือโอกาสสำคัญของธุรกิจ “เอเอ็มซี” หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่อาจมี “โอกาส” มากขึ้นในการเข้าไป “บริหารหนี้” ได้มากขึ้น
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) กล่าวว่า หากดูภาพรวมหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินในปัจจุบัน อยู่ที่ใกล้เคียง 8.5 แสนล้านบาท ซึ่งมาจาก หนี้เสียเกิน 5 แสนล้านบาท และหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นพิเศษ หรือ SM อีกกว่า 3.5 แสนล้านบาท ที่คาดการณ์ว่าก้อนนี้อาจเห็นการ “ตกชั้น” ลงมากกว่า 50% ดังนั้น การที่มีการจัดชั้นหนี้ในกลุ่ม SM เสมือนเป็นเพียงการ “แช่แข็งหนี้” หรือซ่อนไว้เท่านั้น เพราะท้ายที่สุดมองว่า หนี้ที่ถูกแช่แข็งไว้จะทยอยออกมาสู่ระบบ มาเป็นหนี้เสียได้ในระยะข้างหน้า
แต่หากดูภาพรวม “หนี้เสีย” ทั้งระบบ ซึ่งรวมทั้งระบบการเงิน ทั้งจากภาคสถาบันการเงิน จากแบงก์รัฐ และกลุ่มนอนแบงก์ในระบบข้อมูลเครดิตบูโร คาดว่ามีโอกาสที่จะเห็น “หนี้เสีย” ไปแตะระดับสูงสุดที่ 1.5 ล้านล้านบาทได้ในช่วงสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่ใกล้แตะระดับ 1.2 ล้านล้านบาท
ดังนั้น หากเทียบกับอดีต มองว่าภาพ “หนี้เสีย” ที่เห็นวันนี้หนักกว่าวิกฤติปี 2540 ซึ่งวันนี้หนี้เสียกำลังเดินไปแตะระดับที่สูงที่สุดของประวัติศาสตร์ไทย ที่เต็มไปด้วยที่หนี้ป่วย หรือกำลังรอวันตาย
“ภาพหนี้วันนี้หนักกว่าวิกฤตปี 2540 และเรายังมีหนี้ที่ถูกขังไว้อีกจำนวนมาก ภายใต้การไม่มีเงินใหม่เข้ามา แต่เงื่อนไขของการเข้าไปช่วยเหลือวันนี้คือ เมื่อมีเงินเข้ามาเงินจำนวนนี้จะถูกนำมาตัดเงินต้น แต่คำถามคือ ธุรกิจวันนี้แม้จะหาเงินมาจ่ายลูกน้องยังไม่มี ดังนั้นจะเอาเงินจากไหนมาตัดเงินต้น เหมือนการเอาคนป่วย มาวิ่งมาราธอนยังไงก็ตาย”
ทั้งนี้ มองว่า มีความจำเป็นอย่างมาก ที่สถาบันการเงินจะต้องเร่งนำ “หนี้” ออกมาขายสู่ระบบ เพื่อบริหารพอร์ต เพราะหากแบงก์ไม่เร่งทำ หนี้เสียจาก 3.5% อาจขึ้นมาอยู่ที่ 4% ก็อาจมาผลกระทบต่อด้านราคาหุ้นของสถาบันการเงินได้
หรือหากธนาคารไม่ปล่อยหนี้เหล่านี้ออกมา แล้วหากหนี้เสียขึ้นไป 5-8% ในอนาคต จากแบงก์สวยๆ ก็อาจกลายเป็นแบงก์ที่เริ่มมีอาการป่วยเหมือนบางสถาบันการเงิน
ดังนั้นมองว่ามีความจำเป็นที่แบงก์ต้องระบายหนี้เสียออกมาจำนวนมากหลังจากนี้ เพราะหากสถาบันการเงิน สามารถขายหนี้เสียออกมา ภายใต้มาตรฐานการบัญชี IFRS9 แบงก์ก็มีโอกาสได้เงินที่ตั้งสำรองไว้คืน 100% ซึ่งจะทำให้งบการเงินดูดีขึ้นและลดภาระในการตั้งสำรองได้
- ขายหนี้ทุบประวัติศาสตร์ปีนี้ 5 แสนล้าน
อย่างไรก็ตาม หากคาดการณ์การ “ขายหนี้” คาดว่า จะเห็นสถาบันการเงินออกมาขายหนี้เสียมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ที่มีโอกาสเห็นตัวเลขแตะระดับ 5 แสนล้านบาทได้ หากเทียบกับอดีต ที่แบงก์นำหนี้เสียออกมาขายถอดตลาดเพียงปีละ 1-2 แสนล้านบาทเท่านั้น
“แต่หากดูความสามารถซื้อหนี้ของ BAM เราสามารถซื้อหนี้ได้สูงสุดเพียง 1.5 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งอันนี้รวมถึงหากเรามีเงินต้นทุนต่ำเช่นซอฟต์โลนเข้ามาช่วยแล้ว เพราะการซื้อหนี้ในอดีตเราสูงสุดเพียงแค่ 4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นการเร่งระบายหนี้ต้องใช้วิธีการแต่งงานร่วมกับแบงก์ หรือคลอดลูกร่วมกัน เหมือนที่มีการจัดตั้ง AMC ร่วมกับออมสินในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นมองว่าภายใต้ที่หนี้เสียสูงต่อเนื่อง จะมีข้อเรียกร้องให้แบงก์ชาติเปิดหน้าต่างใหม่ หรือเปิดให้มีการจัดตั้งเอเอ็มซีร่วมกับแบงก์ได้อีกครั้ง เพื่อให้มีช่องทางในการระบายหนี้เสียเหล่านี้ออกมาอีกครั้ง”
เศรษฐกิจเปราะบางเร่งหนี้เสียเพิ่มขึ้น
สถานการณ์หนี้เสียที่รุนแรงสะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญหน้ากับความเปราะบางอย่างหนัก หลายเครื่องยนต์เศรษฐกิจ ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อปีที่แล้วว่าจะขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศคือ การท่องเที่ยวและการส่งออก วันนี้ดับทั้งคู่
ภาคธุรกิจที่อยู่ในภาคเศรษฐกิจเก่ากำลังอยู่ในภาวะยากลำบาก และธนาคารก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเหล่านี้เพิ่มขึ้น เพราะมองเห็นแล้วว่าเงินที่ปล่อยไปมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นหนี้เสีย ผู้ประกอบการบางรายเริ่มส่งสัญญาณถึงความยากลำบาก
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ของเศรษฐกิจที่มีอัตราเร่งต่ำในปัจจุบัน โมเมนตัมของการแก้ปัญหาล่าช้า เหล่านี้มีแต่เพิ่มอัตราเร่งทำให้กองหนี้เสียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- แบงก์แห่ขายหนี้ทะลัก2แสนล้านปีนี้
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการขายหนี้เสียของสถาบันการเงินปีนี้มองว่าเห็นทิศทางมากขึ้นต่อเนื่อง ทั้งแบงก์และนอนแบงก์
โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการขายหนี้ออกมาถอดตลาดแล้วราว 8-9 หมื่นล้านบาท ประกาศออกมาแล้วราว 6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าที่เหลือจะประกาศผลในครึ่งปีหลัง โดยการซื้อหนี้ที่ผ่านมาของบริษัทได้มากว่า 1 พันล้านบาทแล้ว
โดยคาดว่า ภายใต้สถานการณ์การเร่งขายหนี้เสียในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเห็นการนำหนี้ออกมาขายทอดตลาดปีนี้ถึงระดับ 2 แสนล้านบาท
- รับซื้อหนี้เริ่มมีข้อจำกัด “ทุนหด-ตามหนี้ยาก”
อย่างไรก็ตาม แม้ปัญหา “หนี้เสีย” ในระบบปัจจุบัน จะมีค่อนข้างมากหากเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา แม้จะเป็นโอกาสกับธุรกิจเอเอ็มซี แต่การเข้าไปรับซื้อหนี้เสียของเอเอ็มซี ก็มีข้อจำกัดมากขึ้น
เพราะคาดความสามารถในการซื้อหนี้ออกมาบริหารทั้งระบบได้เพียง 10-20% ของหนี้เสียทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบเท่านั้น
ดังนั้น หากหนี้เสียในระบบอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท การซื้อหนี้ออกมาบริหาร อาจทำได้เพียง 10-20% หรือไม่เกิน 2 แสนล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นแม้หนี้ในระบบจะอยู่ระดับสูง แต่เหล่านี้ก็อาจเป็นความท้าทายของเอเอ็มซีเช่นกันที่จะเข้าไปรับซื้อหนี้เสียในระบบ เพราะความสามารถและเงินทุนที่เข้าไปรองรับหนี้เสียส่วนนี้มีไม่มากนัก
เช่นเดียวกับหลายบริษัททั้งในตลาดหลักทรัพย์และนอกตลาด ก็อาจมีการระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุนในจังหวะเวลานี้ ภายใต้เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นจริงเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนในสภาวะที่ไม่แน่นอน
นอกจากข้อจำกัดในการซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารแล้ว ในด้านความสามารถในการเก็บหนี้วันนี้ก็เผชิญความท้าทายอย่างมาก ที่อาจไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันกระทบต่อสภาพคล่องในการจ่ายหนี้ลดลงอย่างมาก
สำหรับชโย ตั้งเป้าในการรับซื้อหนี้เสียปีนี้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยมีความสามารถซื้อหนี้มาบริการได้ระดับ 1หมื่นล้านบาท
“เป้าหมายการรับซื้อหนี้เข้ามาบริหารปีนี้ ต้องดีกว่าปีที่แล้ว ปีที่แล้วเราซื้อหนี้มาบริหารได้เพียง 4-5 พันล้านบาท และหากดูในพอร์ตของเราปีนี้ เรามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอยู่ที่กว่า 1แสนล้านบาท ที่เป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน 8หมื่นล้าน และหนี้ที่มีหลักประกันที่ 2 หมื่นล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะเห็นหนี้ภายใต้การบริหารเราอาจไปถึง 1.4 แสนล้านบาทได้”







