ภาษีที่เจ้าของร้านขายยาต้องรู้ ให้ไม่พลาดภาษีจนธุรกิจสะดุด

พาไปทำความรู้จักภาษีสำคัญที่เจ้าของร้านขายยาต้องรู้แบบรอบด้าน เข้าใจง่าย ไม่ใช่ภาษีที่อ่านแล้วงง! เตรียมตัวให้พร้อมก่อนลงทุน จะได้ไม่พลาดภาษีจนธุรกิจสะดุด
ในวันที่ใครหลายคนอยากมีธุรกิจของตัวเอง "ร้านขายยา" ดูจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ทั้งรายได้มั่นคง กลุ่มลูกค้าชัดเจน และตอบโจทย์สังคมที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แต่รู้หรือไม่? เบื้องหลังร้านขายยาไม่ได้มีแค่ยากับคนไข้ ยังมี “ภาษี” หลายประเภทที่เจ้าของร้านต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายคนเปิดร้านไปแบบไม่รู้มาก่อน ต้องมาเจอภาษีย้อนหลังโดนปรับเงินจนหน้ามืด หรือเสียสิทธิ์ทางภาษีที่ควรได้คืน เพียงเพราะไม่เข้าใจระบบภาษีที่เกี่ยวข้องกับร้านขายยาโดยเฉพาะ ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และอีกมากมายที่รออยู่ปลายทาง
บทความนี้จะพาไปทำความรู้จัก "ภาษีสำคัญ" ที่เจ้าของร้านขายยาต้องรู้แบบรอบด้าน เข้าใจง่าย ไม่ใช่ภาษีที่อ่านแล้วงง! เตรียมตัวให้พร้อมก่อนลงทุน จะได้ไม่พลาดภาษีจนธุรกิจสะดุด
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT (Value Added Tax) เป็นภาษีที่เจ้าของร้านขายยาหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากรายได้จากการขายสินค้าและบริการในร้านมีมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เจ้าของร้านจำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการ VAT กับกรมสรรพากร ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รายได้ถึงเกณฑ์
ในกรณีร้านขายยาที่มีสินค้าบางประเภท เช่น ยารักษาโรคที่อยู่ในบัญชีหลัก อาจได้รับการยกเว้น VAT แต่สินค้าประเภทเวชภัณฑ์เสริมอาหาร หรือเครื่องมือแพทย์บางอย่างยังอยู่ในข่ายต้องเสีย VAT ดังนั้นเจ้าของร้านต้องจำแนกให้ชัดว่าสินค้าใดอยู่ในกลุ่มต้องเสีย VAT และสินค้าชนิดไหนได้รับการยกเว้น เพื่อการคำนวณภาษีที่ถูกต้องและไม่เสียสิทธิ์ในการขอคืนภาษี
2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา / ภาษีเงินได้นิติบุคคล
หากร้านขายยาจดทะเบียนในรูปแบบ "เจ้าของคนเดียว" รายได้ทั้งหมดจะนำไปคำนวณเป็น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ แบบเหมา (สูงสุดไม่เกิน 60%) หรือแบบตามจริง (ใช้หลักฐานเอกสารทั้งหมด)
แต่หากจดทะเบียนร้านขายยาในรูปแบบ "นิติบุคคล" เช่น บริษัทจำกัด ภาษีจะอยู่ในรูปแบบ ภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยมีอัตรา 15-20% ขึ้นอยู่กับยอดกำไรสุทธิ
สิ่งสำคัญคือ เจ้าของร้านควรวางแผนภาษีแต่เนิ่นๆ และเลือกโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสมกับรูปแบบการดำเนินงานและแผนการเติบโตในอนาคต
3. ภาษีป้าย
หากร้านขายยาของมีการติดป้ายโฆษณาหน้าร้าน ไม่ว่าจะเป็นชื่อร้าน โลโก้ หรือโปรโมชั่นต่างๆ ต้องเสีย ภาษีป้าย ให้กับสำนักงานเขตหรือเทศบาลที่ร้านตั้งอยู่ โดยอัตราภาษีขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของป้าย
เจ้าของร้านควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าป้ายของคุณอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีหรือไม่ และยื่นแบบแสดงรายการภาษีให้ตรงเวลา เพื่อป้องกันการถูกเรียกเก็บย้อนหลังหรือถูกปรับ
4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax)
แม้ร้านขายยาทั่วไปมักไม่เข้าเกณฑ์ภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่หากมีการให้บริการเสริมบางอย่าง เช่น การให้เช่าพื้นที่ร้าน หรือมีรายได้จากกิจกรรมทางการเงิน เช่น ให้กู้เงินแบบนิติบุคคล ก็อาจเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ทั้งนี้ถึงจะไม่ใช่ภาษีหลักของร้านขายยาแต่เจ้าของร้านควรรู้ไว้ หากมีการขยายบริการในอนาคต
5. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ปัจจุบันอยู่ใน พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง)
หากเป็นเจ้าของพื้นที่ที่เปิดร้านขายยาอยู่เอง หรือมีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ จะต้องเสียภาษีตามมูลค่าทรัพย์สินนั้นตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
แม้จะไม่ได้ปล่อยเช่าแต่หากทรัพย์สินถูกใช้ในกิจการ ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี โดยอัตราจะขึ้นอยู่กับมูลค่าทรัพย์สินและประเภทการใช้งาน เช่น ใช้เพื่อพาณิชย์จะมีอัตราสูงกว่าการใช้เพื่ออยู่อาศัย
6. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากลูกจ้าง (กรณีมีพนักงาน)
ในกรณีที่ผู้จ่ายเงินได้เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และมีการจ่ายเงินได้ประเภทเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส ฯลฯ ให้แก่ผู้รับเงิน ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายทุกครั้งที่มีการจ่าย และต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ภายใน 7 วัน นับจากวันสิ้นเดือนที่มีการจ่ายเงินนั้น
หรือในกรณีผู้จ่ายเงินเป็นนิติบุคคลและจ่ายเงินประเภทค่าเช่า ค่าจ้างทำของ หรือค่าขนส่ง (ถ้ามี) ให้แก่ผู้รับเงินที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล ผู้จ่ายเงินต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นแบบ ภ.ง.ด.3 และ/หรือ ภ.ง.ด.53 ภายใน 7 วัน นับจากวันสิ้นเดือนที่มีการจ่ายเงินได้เช่นกัน
สรุป...จัดการภาษีร้านขายยาให้ถูกทาง ธุรกิจเดินหน้าอย่างมั่นคง
ร้านขายยาไม่ใช่แค่ธุรกิจขายสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ แต่ยังต้องดูแล "สุขภาพทางการเงิน" และภาษีให้ดีด้วย เจ้าของร้านควรศึกษาและทำความเข้าใจภาษีแต่ละประเภทให้ชัดเจน หรือปรึกษานักบัญชีเพื่อให้มั่นใจว่าได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย ลดความเสี่ยงในการถูกปรับ และสามารถวางแผนธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
การรู้ทันภาษีไม่ใช่แค่ “รู้เพื่อเสีย” แต่คือการรู้เพื่อ ประหยัดอย่างถูกกฎหมาย และใช้สิทธิ์ทางภาษีให้คุ้มค่าที่สุด
อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting