‘หุ้นไทย’ถูกสุดในรอบ20ปี ปม ‘การเมือง’ ทุบเชื่อมั่นต่ำสุด

‘หุ้นไทย’ถูกสุดในรอบ20ปี  ปม ‘การเมือง’ ทุบเชื่อมั่นต่ำสุด

กูรูประเมิน “หุ้นไทย” ถูกสุดรอบ 20 ปี “บล.ทิสโก้” ย้ำตลาดกังวลการเมืองไทย กระทบมาตรการกระตุ้นศก.-เจราจภาษีทรัมป์ “บล.เอเซีย พลัส” ชี้ถูกสุดทุกแง่ แต่ไม่มีคนซื้อ

ความเคลื่อนไหว “ดัชนีหุ้นไทย” วานนี้ (19 มิ.ย. 2568) ปิดตลาดดิ่ง 25.85 จุด อยู่ที่ 1,068.73 จุด หรือลดลง 2.36% โดยระหว่างวันทำจุดต่ำสุด 28.51 จุด มาอยู่ที่ 1,066.07 จุด ด้วยมูลค่าซื้อขาย 46,634.59 ล้านบาท โดยพบนักลงทุนสถาบัน (กองทุน) ขายสุทธิ 6,393.63 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 693.28 ล้านบาท หลังโดนผลกระทบจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศกดดัน 

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ประเมินหุ้นไทยตอนนี้เทียบในอดีตถือว่า “ต่ำสุด” (ถูกสุด) ในรอบ 15-20 ปี ทั้งนี้ความถูกแพงของหุ้นไทย คงเทียบตลาดหุ้นประเทศอื่นไม่ได้เพราะแต่ละตลาดหุ้นมีองค์ประกอบแตกต่างกัน เช่น บางตลาดมีหุ้นเทคโนโลยีมาก หรือ รัฐบาลมีอำนาจควบคุมมากกว่า

‘หุ้นไทย’ถูกสุดในรอบ20ปี  ปม ‘การเมือง’ ทุบเชื่อมั่นต่ำสุด

ดังนั้น ด้วยสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยตอนนี้มีแนวโน้มปรับลงต่อ เพราะ “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุน “ต่ำมาก” จากความกังวลปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ จะกระทบการเจรจาภาษีทรัมป์ หรือไม่ และจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศอย่างไร ต่อไปยังต้องรอความชัดเจน

“ก่อนหน้านี้ ความไม่แน่นอนกดดันหุ้นไทยเกิดจากปัจจัยภายนอก ซึ่งเศรษฐกิจไทยไม่ได้เลวร้าย แค่ซบเซาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ชะลอตัวลงกว่าคาด ความไม่ชัดเจนยังรอการเจรจาภาษีทรัมป์ แต่ตอนนี้ความไม่แน่นอน เกิดจากปัจจัยภายในของเราเอง จากการเมืองในประเทศทำให้เกิดกระแส ความไม่เชื่อมั่นไม่มั่นใจส่งผลต่อหุ้นไทย และยังมีแรงขายวานนี้ ขายด้วยอารมณ์ล้วนๆ หุ้นไทยต่ำเกินพื้นฐานไปมากจริงๆ”

โดยรูปแบบทางออกการเมืองที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจ ซึ่งนักวิเคราาะห์ส่วนใหญ่ประเมิน 3 แนวทางคือ กรณีนายกฯ ลาออก ดีสุดสำหรับเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทย ไม่เสียเวลา แค่เปลี่ยนตัวนายกฯ ยังเดินหน้า ผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและงบประมาณต่อได้ ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอในเวลานี้ เป็นเรื่องสำคัญที่สุด

กรณียุบสภา ไม่ใช่ทางออก สำหรับเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทย ในเวลานี้ยิ่งทำให้เกิดสูญญกาศ กระทบการออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและงบประมาณ และการเจราภาษี ทรัมป์จะเจรจาต่อหรือไม่ หาก มีแค่นายกฯรักษากาาร

และกรณี นายกฯ อยู่ต่อแต่มีการถอนตัวพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้กลายเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ การขับเคลื่อนนโยบาย โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและงบประมาณต่างๆ จะทำได้หรือไม่ หากเดินหน้าต่อได้ และเจรจาภาษีทรัมป์ได้ชัด รวมถึงทำให้การเมืองสงบได้ยิ่งดี แต่จะผ่านแรงต้านความไม่เชื่อมั่นรัฐบาลได้หรือไม่ สถานการณ์นี้ต้องรอความชัดเจน กลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทยรอการฟื้นตัว ระยะสั้นแนะรอดูความชัดเจนทางการเมืองภายในประเทศ และราคาหุ้นไทยถูก เน้นเลือกหุ้นดีมีเงินปันผล 6-7% มีกระแสเงินสดดี ไม่สุ่มเสี่ยงการเมือง กลุ่มเกี่ยวกับปากท้องต้องกินต้องใช้ ถือไว้ได้รอหุ้นฟื้น ลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ และกระจายความเสี่ยงพอร์ตหุ้นต่างประเทศและทองคำ

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตอนนี้ราคาหุ้นไทยไม่ว่าจะในแง่ไหน ถือว่า “ต่ำมาก” แล้ว ปรับตัวลงจาก 5 ปีก่อน พีอี 17 เท่าเหลือ 11 เท่า P/BV อยู่ที่ Earning Yield อยู่ที่ 6% ปันผล 4-5% ซึ่งหุ้นไทยถูกแล้ว แต่คนไม่ซื้อ เพราะคนไม่เชื่อมั่นจากการเมืองไทย มีน้ำหนักแซงหน้า สงครามการค้าและสงครามตะวันออกกลางไปแล้ว 

อย่าง ตลาดหุ้นไทย 2 วันมานี้ จะเห็นวอลุ่มเบาบางมาก แรงขายแทบจะไม่มีแล้ว น่าจะมีแรงขายเฉพาะนักลงทุนที่เพิ่งเข้าไปจากความไม่นอนทางการเมืองที่สูงอำนาจ อยู่ที่ประเมินตลาดหุ้นไทย การลาออกหรือไม่ เป็นอำนาจของนายกฯ และรัฐบาลจะตัดสินใจไปต่อในรูปแบบไหนอย่างไรยัง ต้องรอความชัดเจน ยากจะคาดเดาได้ 

อย่างไรก็ตาม มองว่าไม่ว่าจะออกมาแนวไหน แต่หากทำแล้วกระทบต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอนุมัติงบประมาณจนล่าช้าออกไป และด้วยเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำอยู่แล้ว ซึ่งจะกระทบกับดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสหลุด 1,056 จุด (เป็นระดับโดนภาษีทรัมป์ เก็บ 36%)

ดังนั้น แนะนำกลยุทธผ์ลงทุนหุ้นไทย ให้นักลงทุน รอดูความชัดเจนก่อน ดีกว่า ว่าการเมืองไทยจะออกมาในรูปแบบไหน หากรัฐบาลออยู่ต่อจะทนกระแสโซเชียล ได้หรือ ไม่ กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลจะเปลี่ยนไปอย่างไร หรือลาออก อำนาจก็อยู่ที่นายก ตัดสินใจไม่ว่าจะแนวทางไหน ต้องรอติดตามว่า มาตรการกระตุ้นศก งบประมาณ ยังเดินหน้าต่อได้หรือไม่

“รอ wait & see ก่อนดีกว่าต้องรอความชัดเจนหลายเรื่อง ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อจริงๆรอจนกว่าการเมืองไทยจะชัดเจน จะมาในรูปแบบไหนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะผลักดันเม็ดเงินออกมาได้หรือไม่ งบประมาณ ที่จะต้องรอผ่านไปวาระ 3 ขณะที่งบประมาณเดือนก.ย. นี้ ก็หมดแล้วรอความชัดเจนเจรจาภาษีทรัมป์ สิ้นสุด 9 ก.ค. นี้”