“AI ปราบโกง” โครงการ AI แรกที่ภาครัฐควรทำ

“AI ปราบโกง” โครงการ AI แรกที่ภาครัฐควรทำ

การบูรณาการ AI เข้ากับระบบตรวจสอบงบประมาณและการดำเนินงานของภาครัฐ จะไม่เพียงยกระดับประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินจากภาษีของประชาชนให้กับทุกโครงการของภาครัฐ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูศรัทธาต่อระบบราชการ

เหตุการณ์อาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่มลงจนทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้เผยให้เห็นราคาของปัญหาคอร์รัปชันของประเทศไทยอย่างชัดเจน ผลสำรวจหลายสำนักชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่มั่นใจว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากการคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเป็นการลดสเปกวัสดุก่อสร้างหรือกระบวนการตรวจสอบที่บกพร่อง โดยหลังจากเหตุการณ์นี้ ก็มีอาคารของหน่วยงานราชการอีกหลายแห่งที่ได้รับงบประมาณระดับพันล้านเริ่มถูกตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติในการก่อสร้าง ทั้งด้านงบประมาณที่มีการขอเพิ่มเติมหลายรอบ จนไปถึงความล่าช้าในการก่อสร้างหลายปี ทยอยออกมาในรูปแบบคล้ายกันกับตึก สตง. ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการทุจริตที่ฝังรากลึก ยากจะตรวจจับด้วยระบบหรือกระบวนการแบบเดิม และยากที่จะสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชนต่อไป นอกจากนี้ดัชนีคอร์รัปชันของประเทศไทยที่ตกต่ำและย่ำอยู่กับที่มากว่า 20 ปี ถือเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่สอดคล้องกับความรู้สึกของประชาชนหลายคนที่อาจยอมแพ้ให้กับระบบ จนมองว่าคอร์รัปชันในประเทศไทยเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

AI อาวุธประสิทธิภาพสูงเพื่อสู้คอร์รัปชัน

ในยุคที่ AI สามารถอ่านและวิเคราะห์เอกสารจำนวนมหาศาลได้ในเวลาอันสั้น หากเรานำเทคโนโลยีนี้มาใช้ตรวจสอบเอกสารงบประมาณ โครงการจัดซื้อจัดจ้าง และรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานรัฐทุกระดับ จะช่วยเปิดโอกาสใหม่ในการต่อสู้กับการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ AI มีความสามารถในการตรวจจับรูปแบบความผิดปกติ โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และระบุธุรกรรมทางการเงินที่น่าสงสัย ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเงินอย่างกะทันหัน และชี้ให้เห็นความไม่สอดคล้องที่อาจบ่งชี้ถึงการติดสินบน การฉ้อโกง หรือการฟอกเงิน ระบบอัตโนมัติยังสามารถวิเคราะห์ขอบเขตและรายละเอียดของการจัดซื้อจัดจ้าง (TOR) เปรียบเทียบราคากลาง ตรวจสอบความสมเหตุสมผลของรายการค่าใช้จ่าย ตรวจจับรูปแบบการฮั้วประมูล แจ้งเตือนความเสี่ยงล่วงหน้าเพื่อช่วยให้หน่วยตรวจสอบหรือประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณได้แบบเปิดเผย โปร่งใส และต่อเนื่อง

ประเทศจีนประสบความสำเร็จในการริเริ่มใช้ AI เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน โดยมุ่งเน้นการป้องกันปัญหาตั้งแต่เริ่ม หน่วยงานตรวจสอบและกำกับดูแลสามารถตรวจสอบกรณีการทุจริตได้หลายแสนกรณีในปี 2024 ที่ผ่านมา โดยปัจจัยความสำเร็จอยู่ที่การเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องและระบบที่บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง การเข้าถึงข้อมูลทางการเงินและความร่วมมือในนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันและฟอกเงิน มีการใช้ DeepSeek Large Language Model (LLM) ทำให้สามารถระบุเครือข่ายการรับสินบนที่ส่งผ่านบริษัทนอมินี 20 แห่งได้ในเวลาเพียง 72 ชั่วโมง จากเดิมที่อาจต้องใช้เวลาในการทำงานถึง 3 เดือน อย่างไรก็ตามความพยายามในการนำ AI มาใช้ในการตรวจสอบของจีนก็ยังพบแรงต้านจากเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นซึ่งรู้สึกไม่สบายใจกับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพราะมองว่ามีประสิทธิภาพมากเกินไปรวมถึงการถูกรุกล้ำชีวิตส่วนตัว โดยหลายพื้นที่ยังคงระงับการใช้งานระบบนี้จากความกังวลดังกล่าว

AI ไม่รู้จักความกลัว ไม่มีแรงกดดันทางการเมือง

ข้อดีของการนำ AI มาใช้กับการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน เนื่องจาก AI ไม่รู้จักความกลัว ไม่รู้จักแรงกดดันทางการเมือง ไม่มีอคติทางการเมือง และไม่รับสินบน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของความล้มเหลวในการจัดการปัญหาคอร์รัปชัน โดย AI จะวิเคราะห์ตามข้อมูลที่มี ด้วยกระบวนการเดียวกันไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเชื่อมโยงกับใครก็ตาม สิ่งนี้เองที่ทำให้ AI อาจกลายเป็นเครื่องมือ “ต่อต้านคอร์รัปชัน” ที่ทรงพลังที่สุด หากภาครัฐสนับสนุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ (Open Government Data) ด้วยคุณภาพของข้อมูลที่ดีอย่างจริงจัง

ความสำคัญในเชิงการพัฒนาระบบที่สำคัญคือการปรับปรุงให้มั่นใจว่า AI ที่ใช้ไม่มีปัญหาอคติฝังอยู่ในข้อมูลที่ใช้ฝึกระบบ เช่น การอคติต่อชนชั้นหรือฝ่ายการเมือง โดยต้องผ่านการตรวจสอบระบบโดยละเอียด การแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถเห็นหรืออธิบายได้ว่าระบบ AI ประมวลผลข้อมูลอย่างไร (AI Black Box) ที่ต้องพัฒนาให้เป็นระบบที่สามารถอธิบายได้ (Explainable AI) มีโครงสร้างที่ดีและสอดคล้องกับกฎระเบียบที่สามารถเทียบเคียงได้ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อเพิ่มระดับความโปร่งใสและการยอมรับในผลลัพธ์จากบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

เปลี่ยนจาก “คอร์รัปชันเป็นเรื่องปกติ” ไปสู่ “การร่วมตรวจสอบเป็นเรื่องปกติ”

การบูรณาการ AI เข้ากับระบบตรวจสอบงบประมาณและการดำเนินงานของภาครัฐ จะไม่เพียงยกระดับประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินจากภาษีของประชาชนให้กับทุกโครงการของภาครัฐ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูศรัทธาต่อระบบราชการ ด้วยการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบผ่านเครื่องมือที่ขับเคลื่อนการตรวจสอบข้อมูลสาธารณะแบบเรียลไทม์ เชื่อมโยงฐานข้อมูลหลากหลาย แจ้งเตือนความเสี่ยงแบบคาดการณ์ล่วงหน้า เปิดเผยโครงสร้างการทุจริตที่ซับซ้อน หรือพัฒนาไปถึงการวิเคราะห์โอกาสในการประหยัดต้นทุนและปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีเทคโนโลยี AI ช่วยประมวลผลอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และยืดหยุ่นกว่าเดิม

อนาคตของการแก้ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทย ผมมองว่าไม่สามารถพึ่งพาวิธีการเดิมๆ ได้อีกต่อไป แต่การนำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหานี้ให้สำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเทคโนโลยีในวันนี้เลยครับ แต่ขึ้นกับ “เจตจำนงร่วม” จากแต่ละภาคส่วนว่าต้องการสร้างยุทธศาสตร์การตรวจสอบแบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชันกันจริงหรือไม่ หรือกำลังมีบางคนหาข้ออ้างมากมายเพื่อถ่วงเวลา เพราะยังสนุกกับการได้รับประโยชน์จากระบบปัจจุบันอยู่