EIC ชี้เอสเอ็มอี พึ่ง หนี้นอกระบบพุ่ง เอกชนจ่อ "เลย์ออฟคน"รอบใหม่

อีไอซี ชี้เศรษฐกิจไทยน่าห่วง ถดถอยครึ่งปีหลัง "ธุรกิจ-ครัวเรือน"หนี้สูง" อัตราการว่างงานพุ่ง จับตาการเลย์ออฟคนของเอกชนต่อเนื่อง
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า หากดูสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ถือว่าน่ากังวล โดยคาดการณ์จีดีพีปีนี้ เติบโตเพียง 1.5% และปีหน้าลดลงเป็น 1.4%
ตัวเลขเหล่านี้ถือว่าค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยการเติบโตในอดีตของประเทศไทย
ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ความเปราะบางนี้ยิ่งเด่นชัดขึ้น แม้ในไตรมาสแรกขยายตัวได้ที่ 3.1% จากการเร่งการส่งออก
แต่หากดูภาพครึ่งหลัง SCB EIC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 1% และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า technical recession หรือภาวะถดถอยทางเทคนิค ซึ่งหมายถึงการที่เศรษฐกิจไทยอาจมีการเติบโตติดลบเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ติดต่อกันสองไตรมาส
หลักๆมาจาก สงครามการค้าและความไม่แน่นอนทั่วโลก ภาคการท่องเที่ยวชะลอกว่าที่คาดไว้ การลงทุนเอกชนลดลงต่อเนื่อง ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ทั้งในต่างประเทศและธุรกิจขนาดใหญ่หลายรายในประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะชะลอหรือเลื่อนการลงทุนออกไป โดยส่วนใหญ่พยายามลดภาระหนี้สินลงในขณะนี้ เพื่อใช้กลยุทธ์ wait and see “
ไม่เพียงเท่านั้น เศรษฐกิจไทย ยังเต็มไปด้วยแผลเก่าจาก หนี้สูง และภาคครัวเรือนที่เปราะบาง สิ่งที่น่าห่วงมากขึ้นคือ ตลาดแรงงาน ที่การว่างงานมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่าอัตราการว่างงานโดยรวมอาจยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.9% แต่หากดูการว่างงานจากระบบประกันสังคม พบว่าปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนเศรษฐกิจเปราะบางมากขึ้น
ล่าสุด หากดูตลาดแรงงานไทย ส่งสัญญาณเปราะบางต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเลขอัตราการว่างงานโดยรวมของประเทศไทยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.9% แต่สิ่งที่น่าจับตาคืออัตราการว่างงานของกลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม ซึ่งเริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่ามีคนตกงาน 2 คนในทุกๆ 100 คน
นอกจากนี้ การว่างงานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าเป็นห่วง โดยตัวเลขอยู่ที่ 5.31% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะ ที่คนผู้ว่างงานที่นานเกิน 6 เดือนกำลังเร่งตัวสูงขึ้น และกำลังกลายเป็น ‘ผู้ว่างงานถาวร’
ทั้งนี้ หากดู อัตราการว่างงานปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้มีงานทำลดลงถึง 200,000 คน และในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ลดลงไปอีกกว่า 300,000 คน การลดลงนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการหดตัวของการจ้างงานในภาคเอกชน ในขณะที่ภาครัฐยังคงมีการจ้างงานอยู่
สะท้อนภาคอุตสาหกรรม ที่เป็นกลุ่มที่น่ากังวลเป็นพิเศษ เนื่องจากมีสัญญาณที่ชัดเจนว่าจำนวนผู้มีงานทำลดลงอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ที่ติดลบมาหลายปี ทำให้เกิดความกังวลว่า อาจมีการเลิกจ้าง (layoff) จากภาคเอกชนอีกในระยะข้างหน้านี้
ไม่เพียงเท่านั้น หากดู ผู้เสมือนว่างงาน แต่ทำงานไม่ถึง 20 ชั่วโมงในภาคเกษตร หรือไม่ถึง 24 ชั่วโมงในภาคนอกเกษตร ก็กำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี สะท้อนว่าแรงงานจำนวนมาก อาจมีงานทำ แต่ชั่วโมงการทำงานและรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ
ที่น่าตกใจพบ รายได้ที่แท้จริงของแรงงานโดยเฉลี่ยของคนไทยต่ำกว่าระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 แม้จะผ่านพ้นวิกฤตมาแล้วกว่า 5 ปี
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเจอแผลเก่า จาก “หนี้สูง”
โดยปัญหาหนี้สินในทุกภาคส่วนของประเทศได้กลายเป็นปัจจัยหลักที่น่ากังวลและกำลังฉุดรั้งการฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
โดยภาพรวมของภาระหนี้ในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ในปี 2019 พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากการสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) พบว่าแหล่งเงินทุนของ SMEs ที่มาจาก "นอกระบบ" เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก จาก 13% เป็นประมาณ 47%
ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
เมื่อภาคการเงินในระบบไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้เพียงพอ ครัวเรือนและ SMEs ก็หันไปพึ่งพาแหล่งเงินทุนนอกระบบมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและอาจนำมาซึ่งปัญหาความเปราะบางทางการเงินที่รุนแรงขึ้น