ไทยเสี่ยงถูกทิ้ง หากไม่รับ บิตคอยน์ อาจเหลือ 30ล้านคนใช้ เงินบาท

บิทคับชี้ ไทยช้าเกินไป ในการยอมรับ ‘บิตคอยน์‘ เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ อาจต้องสูญเสียนับแสนล้าน หากต้องการซื้อเพียง 1 หมื่นบิทคอยน์ใน10 ปีข้างหน้า
โลกของการลงทุนและเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว “สินทรัพย์ดิจิทัล” โดยเฉพาะ “Bitcoin” บิตคอยน์ กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญอย่างมากที่ไม่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป
จากปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์ ที่ส่งผลให้ “รายย่อย” สนใจบิตคอยน์มากขึ้น แต่วันนี้ “บิตคอยน์” กำลังถูกพิจารณาให้เป็นสินทรัพย์ หรือ “ทุนสำรองระดับประเทศ” ในโลกแห่งอนาคตที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลหลังจากนี้.....
“จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้ง และ Group CEO บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า วันนี้ “บิตคอยน์” ยังน่าสนใจมาก โดยเฉพาะในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาว เพราะแม้ตลาดจะมีความผันผวนสูง แต่ในภาพใหญ่แล้ว บิตคอยน์กำลังกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการป้องกันความเสี่ยงและการเก็บมูลค่าในระยะยาว
การยอมรับ “บิตคอยน์” ในหลายคลื่นที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจาก “รายย่อย” แต่วันนี้ หรือหลังจากนี้ “บิตคอยน์” จะถูกยอมรับจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ จากสถาบันขั้นนำระดับโลก เช่น BlackRock, MicroStrategy ,JP Morgan ,ธนาคาร DBS ของสิงคโปร์ ก็อนุญาตให้ฝาก บิตคอยน์ได้เหมือนการเก็บเงินสด ส่งผลให้ที่มีการเข้ามาถือบิตคอยน์จำนวนมาก
ปัจจุบันคนอเมริกันถือครองบิตคอยน์มากกว่า “ทองคำ” ไปแล้ว เหล่านี้เป็นสัญญาณสะท้อนว่า “บิตคอยน์” วันนี้ได้ถูกยอมรับในวงกว้าง และถูกเปลี่ยนผ่านจาก “รายย่อย” ไป “รายใหญ่” อย่างสถาบันการเงิน องค์กรระดับใหญ่ของโลกแล้ว
รัฐบาลสหรัฐถือครองบิตคอยน์กว่า 210,000 บิตคอยน์ จีน 190,000 บิตคอยน์ เยอรมนี 80,000 บิตคอยน์ เหล่านี้สะท้อนว่าหลายประเทศกำลัง “สะสม” บิตคอยน์ในฐานะ “ทุนสำรอง” มากขึ้น
ดังนั้น มองว่า มีความจำเป็นอย่างมาก ที่ประเทศไทยต้องพิจารณาและดำเนินการเพื่อนำบิตคอยน์ มาเป็น “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” เหมือนประเทศอื่นๆ
ถามว่า วันนี้ช้าไปหรือไม่ ที่ไทยจะต้องเริ่มคิด ในการนำบิตคอยน์มาใช้เป็นทุนสำรองฯ? เขามองว่า “ช้าไป”
มันควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่วานนี้แล้ว ปัจจุบัน มูลค่าของบิตคอยน์สูงขึ้นบาท 1 บิตคอยน์ เท่ากับ 3 ล้านบาท
“จิรายุส” ยกตัวอย่างให้เห็นว่า หากมองย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่ภูฏาน ที่ถือเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 7 แสนคนได้ตัดสินใจเข้าซื้อบิตคอยน์ตั้งแต่ในยุคที่ราคายังคงอยู่ที่ราว 6 แสนบาทต่อบิตคอยน์ ทำให้ปัจจุบันภูฏานครองบิตคอยน์แล้วถึง 1 หมื่นบิตคอยน์ ด้วยเงินลงทุนเพียง 6 พันล้านบาท
ในทางกลับกัน หากประเทศไทยอยากมีบิตคอยน์เท่ากับภูฏาน คือ 1 หมื่นบิตคอยน์ ไทยอาจต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 3.4 หมื่นล้านบาท เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยล่าช้าในเรื่องนี้อย่างมาก ในการเริ่มต้นเข้าสู่โลกสินทรัพย์ดิจิทัลแค่ 2 ปีเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นหากไทยยิ่งล่าช้าไปอีก 10 ปี ต้นทุนการซื้อบิตคอยน์แค 1 หมื่นบิตคอยน์ ไทยอาจต้องจ่ายถึง 3 แสนล้านบาท!!!
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ภาครัฐ หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังไม่มีแนวคิดผลักดันเรื่องนี้ เพราะส่วนใหญ่มาจาก การยังไม่มีความรู้เรื่อง “บิตคอยน์” เพียงพอ และประเทศไทยมักรอให้ประเทศอื่นทำก่อนค่อยทำ
โดยเฉพาะ การเดินตามหลังสิงคโปร์ ซึ่งมุมมองนี้เขามองว่าเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งประเทศไทยไม่ให้ก้าวหน้า
“การทำความเข้าใจเรื่องบิตคอยน์ก็ไม่ต่างจาก การพยายามอธิบายอินเทอร์เน็ตให้คนยุคเก่าในช่วงทศวรรษ 1990 ฟัง ดังนั้น มันคือเรื่องของความรู้ล้วนๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันคือการเข้าใจโลกใหม่ว่าอะไรคือของจริง อะไรคือมายาคติ วันนี้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเข้าใจคริปโท เข้าใจโลก Web3 อย่างลึกซึ้ง แต่เรื่องเรื่องนี้ไปสู่ระดับนโยบายระดับชาติ การขับเคลื่อนแทบไม่เกิดขึ้น”
“บิตคอยน์” ผันผวนสูง จึงเป็นเหตุให้ธนาคารยังไม่เห็นด้วยในการถือบิตคอยน์เป็นทุนสำรองฯ เขามองว่า “ไม่ใช่”
เพราะเขาเชื่อว่า “บิตคอยน์” ผันผวนผันผวนน้อยกว่าหลายสินทรัพย์ทั่วโลก น้อยกว่าหุ้นไทยทั้งตลาดรวมกันด้วยซ้ำ ตอนนี้ Market Cap ของบิตคอยน์ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยทั้งกระดานแล้ว
หรือห่วงว่าบิตคอยน์กระทบต่อเสถียรภาพการเงินในระยะข้างหน้า? เขายกตัวอย่างให้เห็นแบบชัดเจนว่า วันนี้หากเราไปเดินไปประเทศอื่นๆ แล้วยื่นเงินบาทให้ ไม่มีใครรับ แม้แต่ขอทานที่อังกฤษก็ไม่รับ… แต่ถ้ายื่นบิตคอยน์ ทุกคนรู้จักหมด!
ในมุมมองเขาเอง มองว่า “เงินบาท” อาจถูกยอมรับเพียง 70 ล้านคนในประเทศเดียว แต่บิตคอยน์คือ global currency ที่มีการยอมรับทั่วโลกอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า
ดังนั้น ในอนาคตถ้าไทยยังไม่เปลี่ยน เราอาจเหลือแค่ 30 กว่าล้านคน ที่ยอมรับ “เงินบาท” แล้วเราจะค้าขายกับใคร?..







