ทริสเรทติ้ง คงคาดการณ์จีดีพีไทยปี68 โต 1.8% เหตุภาษีทรัมป์กระทบ

ทริสเรทติ้ง คงคาดการณ์จีดีพีไทยปี68 โต 1.8% เหตุภาษีทรัมป์กระทบ

ทริสเรทติ้ง คงคาดการณ์จีดีพีไทยปี68 โต 1.8% เหตุภาษีทรัมป์กระทบ ความเชื่อมั่น-ลงทุน- นำเข้าส่งออก -บริโภคชะลอ แนะรัฐเร่งเบิกจ่ายงบโครงการที่อนุมัติแล้ว พยุงเศรษฐกิจเปราะบาง

ทริสเรทติ้ง คงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2568 ที่ระดับ 1.8% โดยได้รวมผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ไว้ในการวิเคราะห์ด้วย โดยในปี 2568 การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ รัฐบาลควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับโครงการลงทุนที่อนุมัติไปแล้วเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง

ทริสเรทติ้งได้ปรับลดการณ์การณ์การเติบโตของทั้งการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภาคเอกชน เนื่องจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

ทริสเรทติ้ง คงคาดการณ์จีดีพีไทยปี68 โต 1.8% เหตุภาษีทรัมป์กระทบ

นอกจากนี้ การส่งออกและนำเข้าสินค้าโดยรวมในปี 25668 มีแนวโน้มเติบโตชละอลงจากปี
ที่ผ่านมา โดยการนำเข้าสินค้าที่ยังขยายตัวได้มาจากการนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยในปี 2568 การส่งออกไปยังสหรัฐฯ คาดว่าจะลดลง 10.5% ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ และจีนจะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระต่ำ (low single-digit) ดังนั้น การส่งออกสินค้ารวมคาดว่าจะขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ 0.15%

เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงในอนาคต

ในระยะข้างหน้า ความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายทางการค้าของตหรัฐฯ มีแมวโน้มที่จะยังคงอยู่ในระดับสูง ในชนะที่ประเทศต่าง ๆ เข้าสู่กระบวนการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ แต่ผลลัพธ์นั้นยากที่จะคาดเดา ความไม่แน่นอนดังกล่าวอาจส่งผลให้การลงทุนกาคเอกชนเกิดความล่าช้าเพิ่มเติมและส่งผลกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน

ในกรณีที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ เศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับการชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลทำให้ตลาดการค้าของไทยแย่ลงไปอีก

นอกจากนี้ หากงบประมานรัฐบาลปี 2569 มีความล่าช้าก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในเชิงลบเพิ่มเติมต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสสุดท้าย
ยิ่งไปกว่านั้น แรงกดดันด้านเงินเพื่อที่อาจเขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ก็อาจทำให้การปรับลดลดอัตราตอกเบี้ยนโนบายในสหรัฐฯ ล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งจะส่งผลให้สภาวะการเงินทั่วโลกตึงตัว

มากกว่าที่คาดการณ์ไว้

และนอกเหนือจากการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ แล้ว ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก ต้นทุนพลังงานเพิ่มสูงขึ้น และภาวะเศรษฐโลกชะลอตัว

ในขณะที่การดำเนินนโยบายการเงินที่ยัง มีความไม่แน่นอนของประเทศเศรษฐกิจหลักก็อาจนำไปสู่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดทุนทั่วโลกด้วยเช่นกัน