‘สินเชื่อ’ ติดลบหนักรอบ 16 ปี ‘หนี้เสีย’ ทะลัก ฉุดเศรษฐกิจฝืดหนัก

‘สินเชื่อ’ ติดลบหนักรอบ 16 ปี  ‘หนี้เสีย’ ทะลัก ฉุดเศรษฐกิจฝืดหนัก

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาด “สินเชื่อ” ทั้งระบบปี 68 ส่อพลิกติดลบ 0.6% เสี่ยงติดลบรอบ 16 ปี หลังธุรกิจแห่คืนหนี้ ไม่ขอกู้ จากเศรษฐกิจเปราะบาง จับตาหนี้เสียระลอกใหม่

KEY

POINTS

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ สินเชื่อทั้งระบบปีนี้ส่อติดลบครั้งแรกในรอบ 16 ปี คาดทั้งปี 2568 ติดลบ -0.6%
  • เหตุ ตลาดสินเชื่อยังอ่อนแรง เศรษฐกิจเปราะบาง ผู้กู้ชะลอการกู้เพราะไม่มั่นใจเศรษฐกิจ แนวโน้มการ “คืนหนี้” มากกว่าขอสินเชื่อ
  • หนี้เสีย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 2.7% เป็นใกล้ 3% ในปี 2568 ห่วงหนี้ที่ปรับโครงสร้างแล้วเริ่มกลับมาเป็น NPL 
  • ชี้ตลาดหุ้นกู้ซบเซา 3 ปีต่อเนื่อง มูลค่าการออกหุ้นกู้ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท อัตราความสำเร็จในการขายหุ้นกู้ลดเหลือเฉลี่ย 70%
  • ยอดขายและผลิตรถยนต์ในประเทศหดตัว ครึ่งปีแรก -1.0%, ครึ่งปีหลังคาด -1.7% ผลิตรถยนต์ทั้งปีคาดติดลบ -6%
  • ห่วง เศรษฐกิจไทยเสี่ยงถดถอยครึ่งหลังปี 68 นโยบายภาษี “ทรัมป์” เพิ่มความไม่แน่นอน หากโดนเก็บภาษี 36% จีดีพีไทยอาจโตแค่ 1.4%

 

 

‘สินเชื่อ’ ติดลบหนักรอบ 16 ปี  ‘หนี้เสีย’ ทะลัก ฉุดเศรษฐกิจฝืดหนัก

ปัจจุบันแม้ธนาคารพาณิชย์ ยังมีความต้องการปล่อยสินเชื่อเพิ่ม แต่ภายใต้เศรษฐกิจที่เปราะบาง และความระมัดระวังทั้งจากฝั่งธนาคาร (แบงก์) ส่งผลให้ตลาด “สินเชื่อ” ยังมีสัญญาณอ่อนแรงต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านั้น ความต้องการ (ดีมานด์) สินเชื่อยังเผชิญแรง “กดดัน” มากยิ่งขึ้นจาก “ผู้กู้” ที่เริ่มชะลอขอสินเชื่อจากความไม่เชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น 

สถานการณ์นี้ทำให้เห็นภาพรวมการ “คืนหนี้” มากกว่าการขอสินเชื่อ ไม่เพียงเท่านั้นประเด็นปัญหาเรื่อง “หนี้เสีย” ที่กลับมาเป็นประเด็นน่ากังวลอีกระลอกที่กลายเป็นปัจจัยหลอกหลอน และกดกันทั้งครัวเรือน ธุรกิจ รวมถึง “สถาบันการเงิน” ต่อเนื่องหลังจากนี้

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ภาพของการ “ระดมทุน” ของภาคเอกชนมีความอ่อนแอต่อเนื่อง จากความต้องการสินเชื่อที่ชะลอตัวลง มีการคืนหนี้มากขึ้น แม้ว่า “ภาคสถาบันการเงิน” อยากจะปล่อยกู้ แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงระดับสูง มาตรฐานการปล่อยกู้ของแต่ละแบงก์จึงเข้มขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้น ความอ่อนแอของการระดมทุน หรือตลาดสินเชื่อ ไม่ได้เกิดจากฝั่งเดียว หากแต่เป็นผลลัพธ์ของทั้งดีมานด์และซัพพลาย นอกจากนี้ ยังพบว่าในทางกลับกัน ฝั่งของผู้กู้เองก็มีความระมัดระวังสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มภาคธุรกิจที่ยังไม่เห็นความแน่นอนของการฟื้นตัว ขณะที่ฝั่งครัวเรือนก็ยังแบกภาระหนี้เดิมอยู่มา

สินเชื่อทั้งระบบพลิก “ติดลบ” มากสุดรอบ 16 ปี

ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับประมาณการ “สินเชื่อ” ทั้งระบบลง โดยจากคาดการณ์เดิมที่คาดสินเชื่อทั้งระบบขยายตัว 0.6% ในปี 2568 กลับมาพลิกเป็น “ติดลบ” ที่ 0.6% สะท้อนเศรษฐกิจซบเซามากกว่าคาดมาก โดยเฉพาะไตรมาส 1 ยอดสินเชื่อใหม่ต่ำกว่าประเมินเกือบทุกหมวด ทุกเซกเตอร์ธุรกิจ

ทั้งนี้หากดูคาดการณ์สินเชื่อติดลบปีนี้ ที่ 0.6% คาดว่าเป็นการติดลบในรอบ 16 ปีนับตั้งแต่ปี 2553 ในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

ทั้งนี้หากดูไส้ในสินเชื่อ พบว่า สินเชื่อธุรกิจ ยังขยายตัวได้เล็กน้อยแต่ไม่ถึง 1% โดยเน้นในกลุ่มธุรกิจที่ยังมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่ สินเชื่อรายย่อยติดลบต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านที่ถูกกดดันด้วยความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้น และยอดโอนอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวแรงเป็นเลขสองหลัก

เช่นเดียวกับสินเชื่อรถยนต์ ที่คาดหดตัวแรงในช่วงครึ่งหลังของปีหลังนี้ และด้านสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต ถูกควบคุมด้วยมาตรฐานเครดิตที่เข้มงวดมากขึ้นจากฝั่งธนาคาร

“ภาพสินเชื่อวันนี้ ทั้งระบบเติบโตอย่างจำกัดบางช่วงติดลบแม้จะมีการปล่อยกู้ใหม่แต่ก็ถูกหักล้างด้วยแรงชำระคืนที่เร่งตัวขึ้นในช่วงหลัง จนทำให้สินเชื่อสุทธิไม่โตตามที่คาดไว้”

“หนี้เสีย” พุ่งต่อแบงก์เจอโจทย์หนักปี 68

สำหรับสถานการณ์หนี้ด้อยคุณภาพ หรือ เอ็นพีแอล คาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.7% ในปีที่แล้ว มาอยู่ใกล้ 3% ของสินเชื่อรวม โดยเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่

ทั้งนี้ หากดูข้อมูลจาก “เครดิตบูโร” พบว่าปัจจุบันมีสัดส่วนลูกหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในทุกกลุ่มธุรกิจ แต่

สิ่งที่ต้องจับตาคือ สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างไปแล้ว เริ่ม “วนกลับ” มาเป็น “หนี้เสีย” อีกระลอก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญถึงความเปราะบางของลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง

“แนวโน้มหนี้เสียยังคงเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะไม่เกิน 3% ปีนี้ เพราะแบงก์มีการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น และเร่งบริหารจัดการ โดยการตัดขายหนี้เร็วขึ้น และยอดปรับโครงสร้างหนี้พุ่งขึ้นทุกไซส์ธุรกิจ สะท้อนภาพว่าปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว มีโอกาสย้อนกลับมาเป็นหนี้เสียอีกระลอก ดังนั้น เป็นประเด็นน่าห่วงมาก”

การระดมทุนผ่านหุ้นกู้ต่ำ 1ล้านล้าน เป็นปีที่3

ในด้านการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้บรรยากาศยังคงอ่อนแรงต่อเนื่อง โดยยอดหุ้นกู้ออกใหม่ในปีนี้น่าจะอยู่ราว 880,000-900,000 ล้านบาท ปีนี้ ซึ่งเป็นระดับที่ทรงตัวจากปีก่อนหน้า และต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทมาเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

โดยที่น่ากังวลคือ “อัตราความสำเร็จ” ของการระดมทุนผ่านหุ้นกู้ เริ่มลดลงมาอยู่ในระดับเพียง 70% โดยเฉลี่ย กล่าวคือ หากบริษัทตั้งเป้าขอระดมทุน 100 บาท จะสามารถปิดการขายได้เพียง 70 บาทเท่านั้น เหล่านี้

สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาจาก ต้นทุนการขายที่สูงขึ้นการต้องอาศัยผู้ลงทุนรายย่อยมากขึ้น แทนที่กลุ่มนักลงทุนสถาบัน รวมถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

ยอดขายรถยนต์ในประเทศดิ่งลึกขึ้น

ดร.รุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของ “ยอดขายรถยนต์ในประเทศ”แนวโน้มจะคล้ายกับภาพรวมเศรษฐกิจคือ คาดว่าจะ “หดตัวลึกลงไปอีก” ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากครึ่งปีแรกที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศ หดตัวประมาณ -1.0% และคาดครึ่งหลัง คาดว่าจะหดตัวลึกไปที่ -1.7%

โดยปัจจัยกดดันยอดขายรถยนต์ในครึ่งปีหลัง มี 3 ประเด็นหลัก มาจากภาวะเศรษฐกิจ ที่กดดันกำลังซื้อ การให้สินเชื่อที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา รายได้เกษตรกรที่คาดว่าจะหดตัวค่อนข้างแรง

ทั้งนี้ คาดการผลิตรถยนต์ในประเทศปีนี้ เฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะติดลบประมาณ -6% ส่วนหนึ่งมาจากยอดขายในประเทศ และอีกส่วนมาจากการส่งออกที่คาดว่าจะติดลบราว -11% ส่วนครึ่งหลังคาดว่าการผลิตจะกระเตื้องขึ้นกว่า 1% ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตรถ BEV ที่หลายค่ายเริ่มทยอยผลิตมากขึ้นเพื่อตอบสนองมาตรการ EV 3.0 และ 3.5

หวั่นไทยเกิดภาวะศก.ถดถอยครึ่งหลัง

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และChief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า จากนโยบายขึ้นกำแพงภาษีของ “ทรัมป์” และกรณีล่าสุดที่ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ได้อนุญาตให้ประธานาธิบดีทรัมป์เดินหน้าการขึ้นภาษีได้เป็นการชั่วคราว มองว่าจะยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น

โดยผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หลัง 9 ก.ค. หรือ 90 วันของนโยบายทรัมป์ขึ้นภาษีทรัมป์ จะทำเกิด 2กรณี คือสถานการณ์ที่ 1 อัตราภาษีตอบโต้กลับมาที่เดิม 36% และกรณีที่สองคือ อัตราภาษี 10%

ซึ่งหากกรณีแรก หากไทยโดนเก็บภาษีเต็มที่ 36% คาดส่งออกทั้งปีจะติดลบที่ -0.5% ปีนี้ ซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้เติบโตลดลงเหลือเพียง 1.4% และกรณีเก็บภาษี 10% คาดส่งออกอาจปรับตัวดีขึ้นมาเป็นเติบโต 0.5% เศรษฐกิจไทยอาจปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณการเดิมที่ 1.8%

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองกรณีคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะแย่กว่าครึ่งปีแรกอย่างมาก

โดยในกรณีฐาน ที่คาดจีดีพีโตเพียง 1.4% อาจมีความเสี่ยงสูงที่อาจเห็นบางช่วง ในครึ่งปีหลังเข้าสู่ Technical Recession หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงถดถอย หากเทียบไตรมาสต่อไตรมาสติดต่อกัน สองไตรมาส

โดยปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะมาจาก การส่งออกที่คาดว่าจะหดตัวอย่างรุนแรง ภาคการท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเป็นแรงหนุนได้มากพอ เม็ดเงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่หายไปอย่างมาก โดยปีนี้คาดว่าจะเหลือเพียง 25,000 ล้านบาท จาก 140,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว จากการมี Digital Wallet เฟสแรก หั่นจีดีพีไทยเหลือ 2%

ดร.ทิม ลีฬหะพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายเศรษฐศาสตร์ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าว ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 ลงเหลือเติบโต 2% จากเดิมที่คาดไว้ 2.4%

เนื่องจากความไม่แน่นอนของการค้าโลก จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง การบริโภคชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ และความเคลื่อนไหวการเมือง

ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ น่าจะยังไม่เห็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเท่าจุดสูงสุดในช่วงก่อนโควิดระบาด

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ธนาคารได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ลงเหลือ 2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 4.5% โดยเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% และ 1.0% ในปี 2568 และ 2569

ส่วนภาพเงินเฟ้อ คาดว่าตอนนี้ไปจนถึงต้นไตรมาสที่ 4 เงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ตั้งไว้ที่ 1-3%

ทั้งนี้คาดการณ์ว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 3ครั้ง นมิ.ย.นี้ และส.ค. ครั้งละ 0.25% มาอยู่ที่ 1.50%

จับตาเงินบาทจ่อแข็งค่าขึ้น

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงิน อาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ระยะสั้นช่วงต้นเดือน ก.ค. เงินบาทอาจเผชิญความผันผวนและอาจขยับอ่อนค่าขึ้นใกล้ระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์

แต่ระยะกลางถึงยาว ค่าเงินบาทมีแนวโน้ม “แข็งค่าขึ้น” จากกระแสการลงทุนได้เปลี่ยนทิศทางออกจากสหรัฐส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และสกุลเงินในเอเชีย รวมถึงยูโร จะมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

สำหรับไทยคาดว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้เป็นหลัก ไม่ใช่ตลาดหุ้น

โดยมีสัญญาณการเข้าซื้อเพื่อทำกำไรส่วนต่าง และคาดการณ์ว่า ธปท.อาจลดดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ Bond Yield ลดลงและได้ Capital Gain ภาพรวมของเงินทุนไหลเข้าสุทธิ ทั้งในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ในปีนี้ คาดว่าอาจจะอยู่ในระดับ 10,000-20,000 ล้านบาท ถือเป็นการพลิกกลับจากช่วงปี 2566 ที่ไหลออก 340,000-350,000 ล้านบาท และปีที่แล้วที่ไหลออกประมาณ 200,000 ล้านบาท

นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่Head of Financial Markets FunctionและHead of Private Banking Relationship Managementธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มเห็นบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยอดบัญชี FCD เป็นตัวเลขสองหลัก

ทั้งนี้ การเปิดบัญชี FCD ไม่ได้เป็นเครื่องมือเก็งกำไรค่าเงินบาท เนื่องจากเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการมอนิเตอร์เรื่องการเก็งกำไรอย่างใกล้ชิด และสนับสนุนให้ใช้ FCD เพื่อการลงทุนและการบริหารความเสี่ยงส่วนบุคคล ค่าเงินโดยรวมถูกกำหนดโดยปัจจัยพื้นฐานของสกุลเงินนั้น ๆ และอุปสงค์อุปทานทั่วโลก ไม่ได้ถูกกระทบจาก FCD