ตลท. จ่อดึง ‘ต่างชาติ‘ เข้าตลาดหุ้นไทย ปลุกความเชื่อมั่นนลท.

ตลท. เปิด “4 ยุทธศาสตร์” ปลุกเชื่อมั่นตลาดทุนไทย หนุนดึง “ต่างชาติรายใหญ่” ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมศึกษาให้นักลงทุนซื้อหุ้นสะสมจนเกษียณ
KEY
POINTS
- ตลท.ชี้ ตลาดทุนเผชิญปัจจัยลบสะสม จาก สงครามการค้า, ความตึงเครียดการเมือง
- ตลท.มองวิกฤติคือ “โอกาส” เดินหน้าแก้ปัญหาด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลัก
- เร่ง สร้างความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาล ดำเนินคดีรวดเร็วกับผู้กระทำผิดในตลาดทุน ใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมซื้อขายผิดปกติ
- หนุนการ “ซื้อหุ้นคืน” ของ บจ. เพื่อสะท้อนมูลค่าพื้นฐาน
- เพิ่มความน่าสนใจ-ดึงดูดบริษัทใหม่ ปรับเกณฑ์จดทะเบียนให้ SME/Startup เข้าตลาดได้ง่ายขึ้น
- สนับสนุนบริษัทต่างชาติเข้าจดทะเบียน มี 3-4 รายสนใจ
- พร้อมเร่ง ผลักดันกฎหมายเพื่อความเท่าเทียม เร่งแก้กฎหมายล้าสมัย-เพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. ผ่าน พ.ร.ก. เอื้อ สอบสวนคดีตลาดทุนสำคัญได้เอง
- มุ่งขับเคลื่อนความยั่งยืนสนับสนุนตลาดคาร์บอนเครดิต
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดทุนประสบปัญหาหลายด้าน ทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ทั้งจากปัจจัยสงครามการค้า ความตึงเครียดจากสงคราม ความตึงเครียดจากทางการเมือง ที่สะสมมาอย่างต่อเนื่อง
เหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดไว้ แต่ ตลท. เชื่อว่า ในวิกฤติเราเชื่อว่ามี “โอกาส” ท่ามกลางการเดินหน้าแก้ปัญหาต่อเนื่องในตลาดทุน ผ่านยุทธศาสตร์ 4 ด้านของตลท. ทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนทุกภาคส่วน การเพิ่มความน่าสนใจในตลาดทุน การผลักดันกฎหมายต่างๆให้มีความเท่าเทียม และการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน
เปิด 4 ยุทธศาสตร์ตลท. ปลุกเชื่อมั่นตลาดทุน
ด้านแรก การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนทุกภาคส่วน ทั้งการสร้างความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาล Trust and Confidence ที่ ตลท.ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อธรรมาภิบาลและการจัดการปัญหาการฉ้อฉลในตลาดทุน และมีการดำเนินงานอย่างรวดเร็วในหลายกรณี
เช่น การเอาผิดจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่เพิ่งประกาศให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ สิ่งที่ตลท.ทำที่ผ่านมา เช่นการออกมาตรการควบคุมการซื้อขาย เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน อาทิ การพิจารณากำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ที่ทำ Short Sell ในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ในร่างกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ Dynamic Price Band และการจัดการกับ High-Frequency Trading (HFT) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของนักลงทุน
รวมไปถึงการใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ โดยที่ผ่านมาตลท.ได้ลงนามในสัญญากับ NASDAQ เพื่อนำ AI มาใช้ในการตรวจจับพฤติกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนของการสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนซื้อหุ้นคืนเพื่อแก้ไขปัญหาราคาหุ้นที่ไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน ที่ตลท.สนับสนุนมาโดยตลอด ปัจจุบันมีอย่างน้อย 37 แห่ง ที่แสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นคืนกว่า 14,000 ล้านบาท ซึ่งเทียบเท่ากับมูลค่าการซื้อหุ้นคืนตลอดทั้งปี 2567 คาดว่าจะมีการออกประกาศเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคืนได้ภายใน 1-2 เดือนนี้
นอกจากนี้ตลท.ยังให้ความสำคัญกับ การติดตามและบังคับใช้กฎหมายเพื่อดูแลนักลงทุนอย่างดีที่สุด โดยจะมีการติดตามพฤติกรรมการซื้อขายในตลาดทุนไทย และบังคับใช้กฎหมายอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ และสร้างความเกรงกลัวต่อผู้ที่คิดจะทำสิ่งผิด
ดึงต่างชาติรายใหญ่ลงทุนในตลท.ไทย
ด้านที่สองการเพิ่มความน่าสนใจในตลาดทุนไทย ตลท.กำลังพิจารณาแนวทางดึงดูดผู้คนให้มาลงทุนและบริษัทให้เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น โดยเห็นโอกาสจากบริษัทเอสเอ็มอีกว่า 3.25 ล้านราย และบริษัทที่เสียภาษีประมาณ 200,000 ราย ที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เปิดทางมาสู่ในการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ตลท.ยังมีการปรับปรุงเกณฑ์การจดทะเบียน กำลังทบทวนเกณฑ์สำหรับ Live Platform, Live Exchange, ต่างๆเพื่อสนับสนุนให้บริษัท หรือสตาร์อัพสามารถเข้ามาลงทุนในตลาดทุนได้อย่างเป็นระบบ
รวมไปถึง การอยู่ระหว่างการปรับเกณฑ์ Market Cap เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัทในกลุ่ม Economy สามารถมีรายได้เข้ามาจดทะเบียนได้ แม้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังไม่มีกำไรครบ 3 ปี เช่นเดียวกันการดึงดูดบริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนในตลาดไทยมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทต่างชาติ 3-4 แห่ง แสดงความสนใจที่จะเข้ามาจดทะเบียนในประเทศไทยแล้ว โดยเสนอสิทธิประโยชน์และเลือกไทยเป็นฐานการลงทุน
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทต่างชาติกว่า 600 ราย ยื่นความสนใจ (EOI) มูลค่ากว่า 267,000 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งส่วนนี้ตลท. ร่วมมือกับ BOI เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ที่สนับสนุนการลงทุนและการจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงการแก้ไขกฎหมายเรื่องหุ้น 2 ประเภท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับบริษัทเหล่านี้มากขึ้น
รวมไปถึงโครงการ Jump Plus ที่ตลท.ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยเป้าหมายช่วย 50 บริษัทภายในปีหน้า เพื่อสร้างศักยภาพในการขยายธุรกิจและเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุน
ตลท.ศึกษาให้นลท.ซื้อหุ้นสะสมจนเกษียณ
นอกจากนี้ ตลท.ยังอยู่ระหว่างการศึกษาออกแบบผลิตภัณฑ์การลงทุนระยะยาวร่วมกับ CMDF กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน คล้ายกับ LTF หรือ RMF แต่ให้วงเงินสำหรับนักลงทุนในการซื้อหุ้นเก็บสะสมเองจนเกษียณอายุ ซึ่งต้องหารือกับกระทรวงการคลังในระยะถัดไป
นอกจากนี้ในส่วน กองทุน Venture Capital สำหรับสตาร์อัพ ที่ตลท.กำลังออกแบบให้ระบบอีโคซิสเต็มทั้งหมดเชื่อมโยงกัน รวมถึงการตั้งกองทุนสำหรับสตาร์อัพให้มี Matching Fund จาก CMDF หรือกองทุนภาครัฐ เอกชน ที่ประชาชนสามารถลงทุนผ่านกองทุนเหล่านี้ได้
ในส่วนตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ตลท.ก็ได้เตรียมความพร้อมสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อรองรับการลงทุนใหม่ ๆ ในประเทศไทย
ผลักดันกฏหมายให้เกิดความเท่าเทียม
ด้านที่สามการผลักดันกฎหมายต่าง ๆ ให้มีความเท่าเทียม โดย ตลท. ยอมรับว่ามีกฎหมายที่ติดขัดจำนวนมาก จึงพยายามผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขการเข้าจดทะเบียนและสิทธิต่าง ๆ ของบริษัท ทั้งพยายามสร้างกฎเกณฑ์ยกเลิกและแก้ไขกฎหมายอย่างรวดเร็ว
รวมถึงการเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต.ที่อยู่ระหว่างออกเป็นพระราชกำหนด เพื่อให้ก.ล.ต. มีอำนาจในการสอบสวนคดีที่มีความสำคัญของตลาดทุนไทย
ด้านที่สี่ การขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน (ESG) ที่มองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และบริษัทจดทะเบียนไม่ควรหยุดนิ่ง แม้ผู้นำบางประเทศจะไม่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ ESG ยังคงอยู่คู่โลกนี้ ทั้งการสนับสนุนผ่านตลาดคาร์บอนเครดิต โดยให้บริษัทจดทะเบียนรายงานว่าแต่ละบริษัทใน Supply Chain มีระบบคาร์บอนอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนำคาร์บอนเครดิตมาซื้อขายในตลาดทุนในอนาคต ฯลฯ
“การบังคับใช้กฎหมาย คือเสาหลักของความน่าเชื่อถือเชื่อมั่น ถ้าเราอยากให้บริษัทดีๆเข้ามาอยู่ในตลาดทุน เราต้องทำให้ตลาดทุนเป็นบ้านที่น่าอยู่ก่อน ดังนั้นเราต้องสร้างระบบที่ทำให้บริษัทที่ดี มีธรรมาภิบาลเติบโตได้โดยไม่ต้องเอาเปรียบใคร และตลาดทุนต้องไม่ใช่แค่ของบริษัทใหญ่ แต่ต้องเป็นของผู้ประกอบการทุกขนาด”







