‘บิตคอยน์‘ เปลี่ยนโลกการเงิน จากรายย่อยสู่ ’ทุนสำรองดิจิทัลโลก‘

“บิทคับ” ลั่นบิตคอยน์เข้าสู่วงจรขาขึ้น เป็นที่ยอมรับมากขึ้นจากนักลงทุนมาสู่ “สถาบัน” เผยสถาบันใหญ่หนุนดันเป็นทุนสำรองโลก
KEY
POINTS
- Bitkub ชี้ บิตคอยน์ เข้าสู่วงจรขาขึ้น (Bull Run)หลัง “Bitcoin Halving”
- การลงทุนบิตคอนย์เริ่มเปลี่ยนรูป เริ่มจากนักลงทุนรายย่อยสู่สถาบันใหญ่เข้ามาถือครองมากขึ้น
- สะท้อนการเข้าสู่ยุค Mass Adoption ของ Wall Street ไปสู่การเป็น 'ทุนสำรองโลก'
- ชี้ “ความหายาก” คือข้อได้เปรียบ หนุนบิตคอยน์มีความต้องการ และราคาสูงขึ้น เพราะมีจำกัดเพียง 21 ล้านหน่วยเท่านั้น ตรงข้ามกับทองคำหรือวัตถุดิบที่ AI อาจผลิตได้ในอนาคต
บทเวที “Thailand Investment Forum 2025 : พลิกเกมฝ่าวิกฤติ Great Depression” วันที่ 7 มิ.ย.2568 จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์” ภายใต้หัวข้อสัมมนา “Future Investment Trends” มีหลายหลากประเด็นที่น่าสนใจและชี้ให้เห็นทิศทางโลกระยะข้างหน้าที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือหลังจากนี้
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub) ผู้คร่ำหวอดในวงการสินทรัพย์ดิจิทัล ฉายภาพให้เห็นถึงวงจรของ “บิตคอยน์” ว่า ขณะนี้บิตคอยน์กำลังเข้าสู่วงจร “ขาขึ้น”
และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น จากนักลงทุนมาสู่ “สถาบัน” มากขึ้นโดยหากดูสถิติในวงการ “คริปโทเคอร์เรนซี่” จะเกิดปีทอง หรือ Bull Run ที่เกิดขึ้นทุก 4 ปี
สอดคล้องกับเหตุการณ์สำคัญ “Bitcoin Halving” ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นช่วง 6 เดือนหลังเหตุการณ์ดังกล่าวเสมอ
- ปี 2013 คือ Bull Run เกิดขึ้นรอบแรกจาก 150 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ 10,000 ดอลลาร์ จากนั้นตกลงเหลือ 200 ดอลลาร์
- ปี 2017 คือรอบที่สอง ขึ้นจาก 600 ดอลลาร์ไปแตะ 20,000 ดอลลาร์ และตกลงมาเหลือ 3,000 ดอลลาร์ สถานการณ์เข้าสู่ความเงียบไป 3 ปี
- ปี 2021 คือรอบล่าสุด ที่ขึ้นมาทะลุ 65,000 ดอลลาร์ ก่อนลงมาถึงระดับต่ำสุดที่ 20,000 ดอลลาร์
- กลับมาพุ่งอีกครั้งในปีนี้โดยทำ All Time High จนปัจจุบัน บิตคอยน์แตะจุดสูงสุดใหม่กว่า 3.7 ล้านบาทต่อดอลลาร์ในตลาดไทย ต่อ 1 บิตคอยน์ ดังนั้น ประเมินว่าเวฟรอบนี้อาจมีอายุ 1 ปีถึง 1 ปี ครึ่งตามสถิติเดิม ซึ่งเดือน ต.ค.2568 อาจเป็นช่วงปลายของปีทองของบิตคอยน์อีกครั้ง
ทั้งนี้ บิตคอยน์ในปัจจุบันถูกยอมรับมากขึ้น โดยไม่ได้มาจากนักลงทุนรายย่อยเหมือนอดีต แต่เป็นสถาบันใหญ่มากขึ้นอย่าง Blackrock, MicroStrategy, JP Morgan ไปจนถึง DBS Bank ของสิงคโปร์ที่เปิดรับฝากบิตคอยน์เหมือนเงินสด สะท้อน Mass Adoption ที่ Wall Street เข้ามามีบทบาทจริงจังต่างจากเวฟก่อนหน้าที่ขับเคลื่อนโดย Main Street และนักลงทุนรายย่อย
บิตคอยน์จะเป็น “ทุนสำรองของโลก”
นอกจากนี้ เริ่มมีการแข่งขันสะสมบิตคอยน์มากขึ้นหลังท่าที “โดนัลด์ ทรัมป์” ปักธงว่าสหรัฐเป็นผู้นำ 2 เรื่อง คือ Cryptocurrency และ AI ที่มีส่วนผลักดันให้บิตคอยน์เป็นที่ยอมรับและเป็นทุนสำรองของโลก หรือ Strategic Reserve ของสหรัฐระยะข้างหน้า
ส่งผลให้เริ่มเห็นว่าการถือครองบิตคอยน์ของสหรัฐเพิ่มขึ้นในปัจจุบันถือ 210,000 บิตคอยน์ จีนถือ 190,000 บิตคอยน์ อังกฤษถือ 80,000 บิตคอยน์ ทั้งนี้สหรัฐมีแผนซื้อบิตคอยน์เพิ่มขึ้น 1 ล้านบิตคอยน์ภายใน 5 ปี
ดังนั้นหลังจากนี้อาจนำไปสู่ Snowball Effect ที่จะผลักดันให้บิตคอยน์กลายเป็นสกุลเงินสำรองของโลกในระยะข้างหน้า
“ถ้าสหรัฐขยับก่อน จีนไม่หยุดแน่นอน อังกฤษก็ไม่หยุด G20 จะต้องขยับหมด แล้วมันจะกลายเป็น Snowball Effect ที่เปลี่ยนบิตคอยน์จากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่ Reserve Currency ของโลก”
“ความหายาก” เป็นปัจจัยสำคัญ
นอกจากนี้ เขาเชื่อว่า โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ “ความหายาก” กลายเป็นปัจจัยหลักในการเลือกลงทุนเพราะเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI จะ “ปลูก” วัตถุดิบหลายชนิดได้ในอนาคต แม้แต่ทองคำ
ทำให้อีก 5 ปีข้างหน้าทุกอย่างจะถูกและล้น แต่จะมีเพียงหนึ่งเดียวที่จำกัดจริงคือ “บิตคอยน์” ที่มีเพียง 21 ล้านยูนิตบนโลก
ดังนั้น ภายใต้ในโลกของการลงทุนที่บริษัทต้องโตขั้นต่ำปีละ 20% เพื่อตอบโจทย์นักลงทุน ท่ามกลางแรงกดดันจากค่าเงินเฟ้อ และการด้อยค่าของเงินสดการเลือกสินทรัพย์จะกลับมาที่ปัจจัย “จำกัด” ในอดีตมีเพียง 2 สินทรัพย์ที่โตเฉลี่ยปีละ 20% ติดกัน 10 ปี คือ หุ้นเทคโนโลยี กับบิตคอยน์
ส่วนทองคำยังดีใน 5 ปีจากนี้ เพราะความไม่แน่นอนของสงครามค่าเงินและแบงก์ชาติทั่วโลกกว้านซื้อ
แต่หากเกิน 5 ปีบิตคอยน์จะมีคุณสมบัติเหนือทองคำหลายด้าน ทั้งความสามารถในการพกพา ความจำกัดในอนาคตความสามารถของ AI อาจสามารถปลูกทองคำได้ คุณสมบัติจำกัดของทองคำที่หายากอาจหายไป แต่บิตคอยน์ยังคงมีจำกัดเพียง 21 ล้านยูนิตต่อไป