‘กรุงไทย’ แนะเลือกหุ้นมีกลยุทธ์ พร้อมรับผันผวน คาดครึ่งปีหลังเริ่มคลี่คลาย

‘กรุงไทย’ แนะเลือกหุ้นมีกลยุทธ์ พร้อมรับผันผวน คาดครึ่งปีหลังเริ่มคลี่คลาย

“กรุงไทย” แนะเลือกหุ้นอย่างมีกลยุทธ์ ชี้จุดเด่นหุ้นไทยปันผลสูง ปรับพอร์ตรับผันผวน ต้องให้น้ำหนักหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ และทองคำปิดความเสี่ยง คาดครึ่งปีหลังสถานการณ์คลี่คลาย

สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าจากการประกาศนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ทเริ่มปะทุขึ้นในช่วงต้นปีนี้ นำมาซึ่งความผันผวนในตลาดทุนทั่วโลก ทั้งยังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุน

“กรุงเทพธุรกิจ” สรุปข้อเสนอแนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ ผ่านมุมมองของผู้บริหารกองทุน จากงานสัมมนา “Thailand Investment Forum 2025: Great Depression พลิกเกมฝ่าวิกฤติ” ในหัวข้อ "Growth Stocks In-Depth: Strategies for Success" เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2568 จัดโดย 3 สื่อเศรษฐกิจในเครือเนชั่น ได้แก่ กรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสทูเดย์ ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท 

นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AlMC) และ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดทุนทั่วโลกประสบความเจ็บปวดมาตั้งแต่ช่วงต้นปี และยังคงบอบช้ำอยู่ อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่าตลาดน่าจะมาถึงจุดที่ใกล้จุดสูงสุดของความเจ็บปวดแล้ว และหลังจากนี้อาจมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะหากการเจรจาต่างๆ เช่น การเจรจาระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จ 

แม้ว่าตลาดจะยังคงผันผวน แต่ความผันผวนน่าจะเบาบางลงในอนาคต เพราะปัจจัยต่างๆ ได้ถูกแบไพ่ออกมาหมดแล้ว ทำให้ต้องมีการเจรจาเพื่อเดินหน้าต่อไป ซึ่งคาดว่าภายในเดือนก.ค.นี้จะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้น 

“ส่วนประเด็นที่ว่าเราผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้วหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัด เพราะตลาดทุนเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของนักลงทุนอย่างมาก การมองไปข้างหน้าอย่างน้อย 6 เดือนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจจัยที่ครอบงำในวันนี้จะเจือจางลง และอาจมีปัจจัยบวกเกิดขึ้นในอนาคต”

ปรับพอร์ตรับความเสี่ยง

นางชวินดา กล่าวว่า สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูงอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้ถึง 50-60% ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงต่ำสัดส่วนกว่า 50% ในตราสารหนี้ระยะสั้น ให้พักเงินในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อรอจังหวะที่ตลาดเปิดเพื่อทยอยเข้าลงทุนเมื่อมีปัจจัยลบกระทบ รวมทั้งการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) อย่าละเลยการลงทุนในทองคำ เพราะทองคำสามารถทำหน้าที่เป็นประกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ในยามที่หุ้นไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

ภาษีกระทบหุ้นไทยไม่มาก

นางชวินดา กล่าวว่า ประเทศไทยเราผ่านจุดหุ้นเติบโต (Growth Stock)ไปแล้ว เพราะเราอยู่ในวัฎจักรเติบโตมายาวนานแล้ว และตอนนี้อยู่ในจุดที่ GDP โตแบบค่อยเป็นค่อยไปราว 2-3% และปีนี้ที่ประเมินผลกระทบภาษีแล้วก็น่าจะไม่ถึง 2%

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยขับเคลื่อนด้วยการบริโภคภายในประเทศ (Domestic Play) ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากประเด็นภาษีนำเข้า-ส่งออก (tariff) โดยบริษัทส่งออกที่มีปัญหากับภาษีดังกล่าวมีน้ำหนักไม่ถึง 10% ของตลาดหุ้นไทย 

ซึ่งยังมีกลุ่มที่น่าสนใจ ได้แก่ คมนาคม, ธนาคาร, และภาคบริการ เช่น โรงแรม ที่แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะลดลง แต่ประเทศอื่นสามารถทดแทนได้ หรือมีสาขาในต่างประเทศที่สร้างผลตอบแทนได้ นอกจากนี้ บางบริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในอนาคต

ชี้หุ้นไทย หุ้นปันผลสูง

นางชวินดา กล่าวว่า อัตราเงินปันผลสูงเป็นจุดเด่น ของหุ้นไทยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยของตลาดทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 4.4% ซึ่งสูงกว่าการฝากเงินและพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีมาก หุ้นดีๆ ในปัจจุบันของไทยหลายตัวจ่ายมากกว่า 4% ด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ การเลือกหุ้นอย่างมีกลยุทธ์ (Stock Picking) เป็นสิ่งสำคัญ เลือกหุ้นที่มีความทนทาน และสามารถอยู่กับเราได้นานท่ามกลางความผันผวนของตลาดโลกและตลาดทุนไทย ซึ่งหากตลาดโดยรวมปรับตัวลง หุ้นเหล่านี้ควรขาดทุนน้อยกว่า SET Index โดยเน้นบริษัทที่สามารถ รักษาการเติบโตได้และจ่ายเงินปันผลได้ดีในอนาคตด้วย

คัดจุดเด่นหุ้นต่างประเทศ

ทั้งนี้ การกระจายความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรพิจารณาแต่ละประเทศเหมือนหุ้นหนึ่งตัว และดูว่าประเทศนั้นมีจุดเด่นอะไร ได้แก่ 

สหรัฐฯ มีโดดเด่นในด้านเทคโนโลยี 

จีน มีประชากรจำนวนมากพร้อมบริโภคภายในประเทศ และเก่งด้านเทคโนโลยี คาดว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เมื่อหลุดพ้นจากปัจจัยกดดันภาคอสังหาริมทรัพย์จีนน่าจะไปต่อได้ และควรทยอยเข้าลงทุน

เวียดนาม ยังคงน่าลงทุนในภาคการผลิต

อินเดีย มีองค์ประกอบครบถ้วนในการเติบโตและพร้อมลงทุน แต่ต้องระมัดระวัง

เกาหลีใต้ แม้ราคาตลาดโดยรวมจะถูกที่สุดในโลก แต่ส่วนใหญ่พึ่งพาหุ้นใหญ่เพียงตัวเดียว คือ Samsung เพราะฉะนั้นก็ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

แนะ Thai ESGX ปลุกตลาดทุนไทย

“วิธีการบริหารของผู้จัดการกองทุนคือเลือกการลงทุนในจังหวะที่คนกลัวสุดขีด ซึ่งตลาดหุ้นไทยในวันนี้อยู่ในภาวะกลัวสุดขีดและมีความอึมครึม ซึ่งเราเห็นภาครัฐเข้ามาช่วยในการสนับสนุนประโยชน์ทางภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาเพื่อดึงนักลงทุนรายย่อยเข้ามามากขึ้น” 

ซึ่งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐและการลงทุนใน Thai ESGX ซึ่งเป็นปีแรกที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น การลงทุนในบริษัทที่คำนึงถึงความยั่งยืน (ESG) ไม่เพียงช่วยตัวเอง แต่ยังช่วยบริษัทจดทะเบียนให้สามารถค้าขายกับต่างประเทศได้ดีขึ้น และทำให้ต่างประเทศเลือกมาลงทุนในไทยมากขึ้นด้วย การมีส่วนร่วมของนักลงทุนในประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดให้เติบโต

“สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยจะเติบโตได้ในครึ่งปีหลังจะต้องมีองค์ประกอบครบ 3 ส่วน คือนักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งวันนี้รัฐช่วยแล้ว ประชาชนช่วยหรือยัง ต้องคิดให้หนักว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป”