Tariffs, Treasuries, and Tipping Points.

ตั้งแต่ต้นปี เรามีมุมมอง “เน้นรักษาเงินทุน” มากกว่าการไล่หาผลตอบแทน เพราะเราประเมินว่า ปี 2025 จะเป็นปีที่ตลาดเต็มไปด้วยจุดพลิกผัน คำแนะนำนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วที่ให้มีการวางพอร์ตอย่างระมัดระวังนั้นไม่ผิดนัก
ในโลกที่อนาคตไม่แน่นอน และความเสี่ยงไม่ได้มาเพียงจากเศรษฐกิจ แต่แฝงอยู่ในนโยบายการคลัง การค้า และแม้แต่พฤติกรรมผู้นำประเทศ นักลงทุนจึงไม่สามารถพึ่งพาเพียงความเชื่อมั่น หรือ “มุมมอง” เพียงด้านเดียวได้ สิ่งที่พอร์ตการลงทุนต้องมี ไม่ใช่แค่โอกาสในการทำกำไร แต่คือความสามารถในการ “อยู่รอด” ท่ามกลางความผันผวน
ตั้งแต่ต้นปี เรามีมุมมอง “เน้นรักษาเงินทุน” มากกว่าการไล่หาผลตอบแทน เพราะเราประเมินว่า ปี 2025 จะเป็นปีที่ตลาดเต็มไปด้วยจุดพลิกผัน คำแนะนำนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วที่ให้มีการวางพอร์ตอย่างระมัดระวังนั้นไม่ผิดนัก ถ้าวัดผลตอบแทนนับตั้งแต่สิ้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน: ทองคำขึ้นเกือบ 27%, Bitcoin บวก 11%, หุ้นโลก (ไม่รวมสหรัฐฯ) บวก 5% ขณะที่ S&P 500 กลับติดลบ และน้ำมันร่วงกว่า 8% ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ อยู่ในแดนบวกเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมาวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนที่ผ่านมาหลังอดีตผู้นำประกาศผ่อนคลายท่าทีด้านภาษีการค้า ในทางกลับกัน ตลาดพันธบัตรรัฐบาลเริ่มส่งสัญญาณตึงเครียด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 30 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 5.15% สูงสุดในรอบกว่าสิบปี ขณะที่ในญี่ปุ่น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็ทะลุระดับ 3% เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2000 ก่อนจะลดลงหลังรัฐบาลญี่ปุ่นออกมาให้ความมั่นใจกับนักลงทุน ทั้งนี้แม้ทั้งสหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะกู้เงินในสกุลเงินของตนเอง และไม่จำเป็นต้องผิดนัดชำระหนี้ในทางเทคนิค แต่ความไร้วินัยทางการคลังของสหรัฐฯที่ผ่านมากำลังส่งผลให้ต่างชาติต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง จุดนี้สะท้อน “วัฏจักรอุบาทว์” ซึ่งการขาดดุลการคลังกลับยิ่งขยายช่องว่างการขาดดุลการค้าสะท้อนความกังวลด้านวินัยการคลังของรัฐบาลใหม่ที่ดูจะให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นมากกว่างบประมาณแผ่นดินซึ่งก็ดูขัดกับแนวทางของรัฐมนตรีคลังที่เคยส่งสัญญานก่อนหน้านี้ที่ต้องการจะลดการขาดดุลด้านงบประมาณลง
ขณะเดียวกัน ผลกระทบด้านภาษีนำเข้าจะผลกระทบต่อภาคครัวเรือนและการบริโภคจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ต่ำที่ต้องแบกรับภาษีนำเข้าในสัดส่วนเท่ากับรายได้อย่างไม่มีทางเลี่ยง ขณะที่การลดภาษีรอบใหม่กลับไปอุ้มกลุ่มรายได้สูงเป็นหลัก ส่วนภาคเอกชน แม้จะยังดูแข็งแกร่ง แต่แผนการลงทุนใหม่เริ่มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะเริ่มเห็นผลในอีก 1–2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลการค้าสหรัฐฯ ได้มีการตัดสินว่าภาษีการค้าส่วนใหญ่ของทรัมป์นั้นผิดกฏหมายมีผลให้ต้องระงับการขึ้นภาษีที่ประกาศไปแล้วทันที อย่างไรก็ตามรัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินนี้ก็น่าจะทำให้เรื่องการขึ้นภาษียังมีความไม่แน่นอนออกไปอีกแต่อย่างน้อยน่าจะช่วยชะลอการเกิดผลกระทบข้างต้นออกไปได้สักระยะเวลานึง
แล้วนักลงทุนควรจัดการกับเงินดอลลาร์อย่างไร และ US exceptionalism กำลังจะสิ้นสุดหรือไม่? ในระยะสั้น เราเห็นว่ายังสามารถเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เฉพาะกลุ่มบริษัทที่มีความได้เปรียบเฉพาะตัว เช่น “Magnificent 7” ซึ่งยังคงให้ผลตอบแทนโดดเด่น ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ ที่เหลือกลับอ่อนตัวเมื่อเทียบกับหุ้นโลก แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีการขาดดุลคู่ “Twin deficit” (ทั้งการคลังและการค้า) จะสร้างความเสี่ยงในภาพรวม แต่เมื่อดูจากผลตอบแทนของบริษัทสหรัฐฯ ที่จ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืนรวมกันสูงถึง 14% ต่อปี ก็ยังยืนยันได้ว่าภาคเอกชนของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง
แต่ทั้งหมดนี้ต้องแลกมาด้วยการที่ภาครัฐขาดดุลอย่างหนัก ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นยังได้แรงหนุน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าต่อไป กลไกที่รัฐบาลอาจนำมาใช้ในอนาคต เช่น การผ่อนคลายกฎทุนของธนาคาร การยุติการดูดซับสภาพคล่อง หรือแม้แต่การควบคุมอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control) ล้วนเป็นเครื่องมือที่เอื้อประโยชน์ต่อหุ้นและทองคำ แต่ไม่ใช่ต่อค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้นเรายังคงแนะนำให้มีการกระจายการลงทุนไปในสกุลเงินอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน







