‘แฮร์คัตหนี้’ เสี่ยงล้มวินัยการเงิน ติดกับดัก‘เอ็นพีแอล’ซ้ำซาก

‘แฮร์คัตหนี้’ เสี่ยงล้มวินัยการเงิน ติดกับดัก‘เอ็นพีแอล’ซ้ำซาก

“นักเศรษฐศาสตร์” มองต่างการแก้ปัญหา “หนี้เสีย” รอบนี้เป็น “โจทย์ยาก” และมีความท้าทายมากกว่าวิกฤติปี 2540 “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย”กังวลประเด็น “การจงใจผิดนัดชำระหนี้”

KEY

POINTS

 

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ห่วงการแก้หนี้รอบนี้ซับซ้อนและท้าทายกว่าวิกฤตปี 2540
  • ชี้เศรษฐกิจปัจจุบันนิ่ง ไม่มีแรงขับเคลื่อนเหมือนปี 2540 เช่น ค่าเงินบาทอ่อน-ส่งออกฟื้น หากใช้กลไก AMC ต้องชัดเจนในรูปแบบการจัดตั้ง
  • แม้มาตรการแฮร์คัตช่วยลูกหนี้ได้ แต่ต้องระวัง การสร้างพฤติกรรมจงใจผิดนัดชำระหนี้ (Moral Hazard)
  • ซีไอเอ็มบีไทย เห็นด้วยกับการช่วยหนี้รายย่อยโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
  • แต่ห่วง “กับดักหนี้ซ้ำซาก” หากไม่มีมาตรการป้องกันเสนอให้มีเงื่อนไขในการช่วย เช่น ห้ามกู้ใหม่ 2-3 ปีต้องเป็นลูกหนี้ที่เคยพยายามปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว
  • เกียรตินาคินภัทร ชี้ปัญหาหนี้เกิดจากเศรษฐกิจไม่โต รายได้ไม่เพิ่ม
  • ย้ำว่าการฟื้นเศรษฐกิจคือ “คำตอบระยะยาว” ที่แท้จริง
  • การปรับโครงสร้างหนี้จำเป็น แต่ไม่พอ ต้องมีมาตรการอื่นร่วมด้วย

แฮร์คัตหนี้”หรือ Hair Cut หนี้ โดยการเจรจาระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้เพื่อขอลดจำนวนการผ่อนชำระ ลดหนี้ลง กลายมาเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ได้ยินต่อเนื่องในระยะนี้ ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนอยู่ระดับสูง หนี้ธุรกิจ รายย่อยที่ไหลไปเป็นหนี้เสียมากขึ้น

ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังเร่งดำเนินการแผนแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือน โดยมีเป้าหมายต้องการเร่งดำเนินการออกมาให้เร็วที่สุดภายในไตรมาส 3 ปี 2568 โดยหนึ่งในนั้นที่เป็นเครื่องมือที่ถูกพูดถึงกันมากคือการเข้าไป “แฮร์คัตหนี้” กับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียในระบบที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 3.5 ล้านคน

นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การที่ภาครัฐได้แสดงความตั้งใจที่จะเข้าช่วยเหลือลูกหนี้ในระบบ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายประมาณ 3.5 ล้านคน ที่มีหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท 

โดยมีแนวคิดที่จะจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ขึ้นมาเพื่อดูแลการแก้ปัญหาหนี้รายย่อยนี้ หรือวิธีการอื่นๆ นั้น มองว่าเป็น “โจทย์ยาก” เพราะการแก้หนี้ในวันนี้แตกต่างกับการแก้ปัญหาเมื่อปี 2540 ที่มีลูกหนี้รายย่อยจำนวนมาก 

รวมทั้งมีความท้าทายอีกด้านของการแก้หนี้รอบนี้ที่ยากกว่าปี 2540 คือบริบททางเศรษฐกิจใน “วิกฤติต้มยำกุ้ง” แม้จะได้รับผลกระทบหนัก แต่ก็มีกลไกที่ช่วยให้เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นตัว เช่น ค่าเงินบาทอ่อน ทำให้การส่งออกฟื้นในเวลาต่อมา 

แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าเศรษฐกิจนิ่งมาก มีความไม่แน่นอนสูง และยังไม่รู้ว่าจะฟื้นจากอะไร รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบันกับช่วงหลังวิกฤติปี 2540 อยู่กันคนละช่วงเวลา ทำให้การแก้ปัญหาหนี้มีความยากขึ้น

นอกจากนี้ หากการแก้หนี้โดยใช้กลไกของ AMC ก็อาจจะมีคำถามเช่นกันว่า จะกำหนดให้มีการบริหารจัดการอย่างไร โดยราคาซื้อหนี้เป็นอย่างไร รูปแบบการจัดตั้งเป็นอย่างไร และแหล่งเงินสำหรับ AMC มาจากไหน ซึ่งประเด็นเหล่านี้ที่ต้องทำให้ชัดเจน

ทั้งนี้โดยรวมมองว่าแผนแก้หนี้ต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี ที่จะช่วยลูกหนี้ให้กลับมาลืมตาอ้าปากได้ แต่ประเด็นที่กังวลอีกด้าน คือ วิธีการว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการสร้างพฤติกรรมผิดนัดชำระหนี้โดยเจตนา (Moral Hazard) ที่ต้องพิจารณาเพื่อให้มีการป้องกันเกิดขึ้นอย่างมากในระยะข้างหน้าด้วย

ห่วงปัญหา “กับดักหนี้” ซ้ำซาก

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า แม้นโยบายแฮร์คัตหนี้ (Haircut) หนี้รายย่อย ตัดหนี้ให้ผู้มีภาระหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท จะถูกพูดถึงในฐานะความหวังใหม่ของคนไทยที่ติดอยู่ในวังวนหนี้เรื้อรัง ซึ่งมองเป็นนโยบายนี้เจตนาดีตอบโจทย์ของคนที่รายได้ไม่พอรายจ่ายตอบโจทย์คนที่ชีวิตไปต่อไม่ได้

แต่ในวิกฤติรอบนี้จุดอ่อนของระบบไม่ได้อยู่ที่หนี้ก้อนใหญ่ เช่น หนี้บ้านหรือหนี้ธุรกิจ SME แบบในวิกฤตปี 2540 แต่กลับเป็น “หนี้รายย่อย” โดยเฉพาะหนี้ส่วนบุคคลของกลุ่มเปราะบาง ที่รายได้ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่วิกฤติโควิด และไม่ฟื้นกลับมา ขณะที่ต้นทุนชีวิตเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ

แต่อย่างไรก็ตาม ภายใต้การจัดการกับปัญหา “กับดักหนี้ซ้ำซาก” ยังเป็นประเด็นว่า ทำอย่างไรไม่ให้กลายเป็นภาระทางการคลัง และสร้างพฤติกรรมผิดนัดชำระหนี้โดยเจตนา (Moral Hazard) หรือพฤติกรรมจงใจผิดนัดชำระหนี้ เพราะรู้ว่ารัฐจะเข้ามาช่วยเหลือในภายหลัง โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังมีความสามารถจ่ายแต่เลือกไม่จ่าย

อีกประเด็นที่ต้องจับตาคือ การป้องกันไม่ให้ลูกหนี้กลับมาก่อหนี้ซ้ำหลังได้รับการลดหนี้แล้ว ซึ่งหลายฝ่ายเสนอว่า ควรมีมาตรการ “พักหนี้ใหม่” เช่น ห้ามขอสินเชื่อใหม่ภายใน 2-3 ปี เพื่อให้ลูกหนี้สร้างวินัยการเงินใหม่ และไม่วนกลับไปสู่หนี้ซ้ำซาก

ตั้งคำถามที่มาของเงินแฮร์คัตหนี้

นอกจากนี้ คำถามที่ยังไร้คำตอบในเวลานี้คือ “เงินก้อนใหญ่” ที่จะนำมาใช้ในมาตรการแฮร์คัตหนี้จะมาจากไหน และจะกระทบเสถียรภาพทางการคลังหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นมีการพูดถึงแหล่งเงินจากกองทุน FIDF หรืออาจรวมถึงการจัดตั้งหน่วยงานคล้าย AMC สำหรับหนี้รายย่อยโดยเฉพาะ 

รวมทั้งหากมีการใช้เงินของภาครัฐจะต้องระวังอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการคลังที่เกินควร เพราะในท้ายที่สุดอาจจะไปสะเทือนเสถียรภาพด้านการเงินและเครดิตประเทศได้

ทั้งนี้ มองว่าภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ หากมีความจำเป็นต้องทำต้องทำแบบจำกัดกลุ่ม แบบมีเงื่อนไขเช่น ต้องเป็นกลุ่มลูกหนี้เปราะบางเท่านั้น เช่น ผู้มีรายได้ต่ำ ผู้พิการ หรือผู้สูงอายุ ต้องผ่านการพยายามปรับโครงสร้างมาแล้วหลายรอบ ต้องตกลงยอมรับเงื่อนไขควบคุมวินัย เช่น ห้ามขอกู้ใหม่ 2-3 ปี ต้องมีมาตรการรองรับรายได้หรืออาชีพเสริม เพื่อไม่ให้วนกลับไปก่อหนี้ ฯลฯ

มาตรการใด ๆ ที่ใช้ ต้องสร้างแรงจูงใจเชิงบวก และควบคุมความเสี่ยงเชิงระบบให้ดี เพราะเป้าหมายไม่ใช่แค่ช่วยหนี้ แต่ต้องไม่ให้หนี้กลับมาอีก ถ้าออกแบบไม่ดี คนที่ยังพอจ่ายได้อาจจะหยุดจ่ายแล้วรอให้รัฐช่วย กลายเป็นบ่อนทำลายวินัยทางการเงินของทั้งระบบ”

พิพัฒน์”ย้ำปัญหาหนี้ต้องแก้ที่รายได้

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจในประเทศไทยกำลังเป็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง 

แต่ปัญหาเหล่านี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวหรือไม่เติบโต เนื่องจากความสามารถในการชำระคืนหนี้ขึ้นอยู่กับรายได้ เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ปัญหาหนี้จึงเกิดขึ้นได้ง่าย ในบางกรณี ธุรกิจอาจเผชิญภาวะขาดสภาพคล่องและนำไปสู่การล้มละลายได้

“สิ่งที่สะท้อนให้เห็นต่อเนื่องคือผ่าน ตัวเลขการปิดกิจการที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยอดปิดกิจการยังคงสูงกว่ายอดเปิดอย่างชัดเจน” ดร.พิพัฒน์ กล่าว

ดังนั้น การแก้ไขปัญหาหนี้สินที่เป็นอยู่ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ “ยากมาก” ในสถานการณ์ปัจจุบันหากยังไม่สามารถเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ในทันที 

หนุนปรับโครงสร้างหนี้ประชาชน

สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าธนาคารจะต้องการช่วยเหลือลูกหนี้ แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า การปรับโครงสร้างหนี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด

ทั้งนี้มองว่า กรณีที่รัฐมีแนวคิดแฮร์คัตหนี้ 3.5 ล้านราย ที่มีหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท มองว่าการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาหนี้โดยเฉพาะการยกหนี้หรือช่วยเหลือส่วนนี้ เผชิญกับความท้าทายสำคัญหลายประการ ความยากอยู่ที่การดำเนินการอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา moral hazard เพราะคนอาจจงใจก่อหนี้เสียเพราะคาดหวังว่าจะได้รับการช่วยเหลือ

“คำถามถัดมา คือ ใครจะเป็นผู้รับภาระจากมาตรการเหล่านี้หากธนาคารต้องรับภาระทั้งหมด จะเป็นภาระที่หนักเกินไปหรือไม่ หากรัฐบาลเป็นผู้รับภาระ ภาระก็จะตกอยู่กับรัฐ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้จ่าย นอกจากนี้ ยังต้องพิจารณาถึงขอบเขตและต้นทุนของการแก้ปัญหาว่ามีมากน้อยเพียงใด” ดร.พิพัฒน์

ดังนั้น มองว่าการแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย ตั้งแต่การพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ การปรับโครงสร้างหนี้ ไปจนถึงนโยบายจากภาครัฐ แต่นโยบายช่วยเหลือทางการเงินก็มีความท้าทายในด้านการป้องกัน moral hazard และการหาผู้รับภาระที่ชัดเจน ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในการหาทางออก