วิกฤติ 'พันธบัตรญี่ปุ่น' ระเบิดเวลา 'ระบบการเงินโลก'

วิกฤติ 'พันธบัตรญี่ปุ่น' ระเบิดเวลา 'ระบบการเงินโลก'

บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นอายุ 40 ปีพุ่งทำนิวไฮ หลังการประมูลขายพันธบัตรซบเซา นักวิเคราะห์ชี้สัญญาณเงินไหลออกจากสหรัฐ สู่หายนะ ‘ระบบการเงินโลก’

KEY

POINTS

  • บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นอายุ 30 ปี และ 40 ปี พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.2% และ 3.675% ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในประวัติการณ์ 
  • นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs มองว่านี่คือ “สัญญาณเตือนภัย” ถึงปัญหาที่อาจลุกลามไปยังตลาดการเงินทั่วโลก

  • บอนด์ยีลด์พุ่ง อาจกระตุ้นให้นักลงทุนญี่ปุ่นดึงเงินลงทุนไหลกลับประเทศ  ซึ่งหุ้นเทคสหรัฐมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ

ตลาดพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs) ปั่นป่วนจนกลายเป็นสัญญาณเตือนภัย “ระบบการเงินโลก”  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุยาวพิเศษ และความต้องการที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด กำลังสร้างความกังวลว่าญี่ปุ่นอาจกลายเป็น "ระเบิดเวลา" 

เกิดอะไรขึ้นในตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น?

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี และ 40 ปี พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.2% และ 3.675% ตามลำดับ หลังจากที่เคยอยู่ในภาวะติดลบมานานหลายปี 

สถานการณ์นี้ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อการประมูลพันธบัตรอายุ 20 ปี “ล้มเหลว” อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งถือเป็นการประมูลที่แย่ที่สุดในรอบ 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากมีการเทขายพันธบัตร "ระยะยาวพิเศษ" ของญี่ปุ่นอย่างหนักมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังญี่ปุ่นได้เปิดประมูลขายพันธบัตรอายุ 40 ปี มูลค่าประมาณ 5 แสนล้านเยน แต่ผลลัพธ์กลับน่าเป็นห่วง อัตราส่วนการเสนอซื้อต่อการซื้อคืน (bid-to-cover ratio) อยู่ที่เพียง 2.21 เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี และยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ประมาณ 3 อย่างมาก  

อะไรทำให้บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นพุ่งแรง?

  • การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ปรับลดการซื้อพันธบัตรลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินที่สำคัญในปีที่แล้ว ทำให้ตลาดสูญเสียผู้ซื้อรายใหญ่ที่สำคัญที่สุด ขณะที่นักลงทุนภาคเอกชนไม่ได้เข้ามาซื้อทดแทนในระดับที่เพียงพอ จึงเกิดภาวะความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์ และอุปทาน

  • นักลงทุนสถาบันถอนตัว

บริษัทประกันชีวิตซึ่งเป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นรายใหญ่ได้ซื้อครบตามข้อกำหนดที่ทางการกำหนดไว้แล้ว รวมทั้งบริษัทเหล่านี้กำลังประสบปัญหาการขาดทุนทางบัญชีอย่างมหาศาล โดยบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่ 4 แห่งรายงานการขาดทุนรวม 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 4 เท่าจากปีก่อน  

เรื่องนี้สำคัญอย่างไร?

ญี่ปุ่นมีหนี้รัฐบาลมหาศาลเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ โดยอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP อยู่ที่ประมาณ 260% ซึ่งสูงที่สุดในบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว นั่นหมายความว่าเพียงแค่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็จะทำให้ภาระทางการเงินของรัฐบาลญี่ปุ่นสูงขึ้นอย่างรุนแรง

วิกฤติ 'พันธบัตรญี่ปุ่น' ระเบิดเวลา 'ระบบการเงินโลก'

นอกจากนี้  BOJ ยังถือครองพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่ยังไม่ได้ชำระคืนอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ทำให้ผู้กำหนดนโยบายอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะ BOJ ไม่สามารถซื้อพันธบัตรเพิ่มได้อีกแล้วเพื่อพยุงตลาด

สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ญี่ปุ่นต้องเลือกระหว่างสองทางเลือกที่ยากลำบาก

  1. ขึ้นอัตราดอกเบี้ย : หาก BOJ ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และทำให้พันธบัตรน่าสนใจขึ้น อาจส่งผลให้ ต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาลที่สูงอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งจะทำให้ปัญหาหนี้สาธารณะรุนแรงขึ้น และมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย
  2. คงอัตราดอกเบี้ย : หาก BOJ คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ เพื่อประคองเศรษฐกิจ และต้นทุนการกู้ยืมของรัฐบาล จะทำให้ เงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นต่อไป และผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จากความกังวลของตลาด

ญี่ปุ่นจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการแก้ปัญหาเงินเฟ้อกับความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจถดถอย และปัญหาหนี้สาธารณะยิ่งเลวร้ายลง

กระทบ ‘ระบบการเงินโลก’ ยังไง?

พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งใน “สินทรัพย์ที่ปลอดภัย” หากความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยของญี่ปุ่นลดลง ความเชื่อมั่นในตลาดโลกก็อาจลดลงตามไปด้วยได้

นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs มองว่านี่คือ “สัญญาณเตือนภัย” ถึงปัญหาที่อาจลุกลามไปยังตลาดการเงินทั่วโลก

"ญี่ปุ่นเหมือนเป็นระเบิดเวลา" ไมเคิล เกย์ด ผู้จัดการพอร์ตการลงทุนของ Tidal Financial Group กล่าวเตือน "หากความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่เคยถูกมองว่าปลอดภัยที่สุดในตลาดการเงินแห่งหนึ่งพังทลายลง ความเชื่อมั่นในตลาดโลกก็อาจจะพังตามไปด้วยเช่นกัน"

นักวิเคราะห์จาก Macquarie มองว่าหากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงเพิ่มขึ้นอาจกระตุ้นให้เกิดหายนะตลาดการเงินโลกได้ เนื่องจากนักลงทุนญี่ปุ่นย้ายเงินทุนของตนจากสหรัฐกลับบ้านเกิดอย่างกะทันหัน

Albert Edwards  นักวิเคราะห์จาก Societe Generale Corporate & Investment Banking กล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น อาจนำไปสู่หายนะในตลาดการเงินโลกได้ เนื่องจากนักลงทุนญี่ปุ่นอาจดึงเงินทุนไหลกลับประเทศ ซึ่งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่นจำนวนมหาศาล มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ

บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นพุ่ง ดันต้นทุนกู้ยืมโลกพุ่งตาม

เดวิด โรช นักวิเคราะห์จาก Quantum Strategy ชี้ว่า การที่ผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่นสูงขึ้น กำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับตลาดโลก เพราะจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมทั่วโลกเพิ่มขึ้น ญี่ปุ่นในฐานะเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสองของโลก ด้วยสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 

โรชเตือนว่า สภาพคล่องทางการเงินที่ตึงตัวขึ้นทั่วโลกจะฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกให้เหลือเพียง 1% และการที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้นจะทำให้สภาวะทางการเงินเข้มงวดขึ้น ส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในภาวะขาลง 

นอกจากนี้ การที่เงินทุนไหลกลับญี่ปุ่นเป็นสัญญาณของ "การสิ้นสุดยุคพิเศษของสหรัฐ" ซึ่งสะท้อนสถานการณ์คล้ายคลึงกันในยุโรป และจีนด้วย

 

 

อ้างอิง CNBC Reuters QZ

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์