ต่างชาติมองไทยเปลี่ยนไป?... ส่องพัฒนาการเศรษฐกิจไทยผ่านอันดับเครดิตประเทศ

การปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศในครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนดัง ๆ ให้ไทยต้องเอาจริงเอาจังกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านการคลัง การบริหารจัดการเชิงรุกอย่างจริงจัง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการฟื้นฟูศักยภาพทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความท้าทายจากภายในและภายนอกที่กำลังบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
เมื่อไม่นานมานี้ หลายคนคงทราบข่าวที่ประเทศไทยถูกปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือ (Credit Outlook) โดยบริษัทจัดอันดับเครดิตชั้นนำของโลกอย่าง Moody’s จากระดับ “มีเสถียรภาพ” (Stable) สู่ระดับ “เชิงลบ” (Negative) แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่ระดับ Baa1 หรืออยู่ในกลุ่มน่าลงทุนปานกลางขั้นต่ำ (Lower Medium Investment Grade) ซึ่งเป็นการปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงโควิด-19
ทั้งนี้ อันดับเครดิตของประเทศ (Sovereign Credit Rating) ซึ่งจัดทำโดยบริษัทจัดอันดับชั้นนำระดับโลก เช่น Moody’s, S&P และ Fitch Ratings เป็นเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนความน่าเชื่อถือทางการคลังและความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งการปรับอันดับหรือมุมมองเครดิตประเทศจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อต้นทุนทางการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ตลอดจนความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยรวม เลยอยากชวนย้อนกลับไปดูถึงพัฒนาการเศรษฐกิจและมุมมองประเทศไทยในสายตาต่างชาติตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
เดิมทีในช่วงทศวรรษ 1980-1990 ประเทศไทยเคยถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน “เสือเศรษฐกิจของเอเชีย” เห็นได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก การใช้นโยบายเปิดเสรีทางการเงินอย่างกว้างขวาง การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็ว เหล่านี้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากต่างประเทศอย่างมหาศาล แน่นอนว่า บริษัทจัดอันดับเครดิตส่วนใหญ่ประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของไทยสูง โดยเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนปานกลางขั้นสูง (High Medium Investment Grade) หรือเทียบเท่ากับจีนและเกาหลีใต้ ณ ขณะนั้น และยังมีมุมมองความน่าเชื่อถือในทิศทาง “เชิงบวก” (Positive) อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ความเปราะบางด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจกลับเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ จากมาตรการตรึงค่าเงินบาทกับเงินดอลลาร์สหรัฐ จนนำไปสู่การเก็งกำไรค่าเงินและการกู้ยืมระยะสั้นจากต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่วิกฤติด้านเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ส่งผลให้ในเวลาต่อมา รัฐบาลไทยจำเป็นต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาท สถาบันการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งล้มละลาย เศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรงถึง 7.6% จนทำให้ไทยต้องพึ่งพาแหล่งเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งก็มาพร้อมกับมาตรการรัดเข็มขัดที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ทำให้บริษัทจัดอันดับเครดิตหลายแห่งปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอย่างรุนแรงสู่ระดับ Speculative Grade (กลุ่มเพื่อการเก็งกำไร) หรือกลุ่มที่ไม่ใช่ระดับเพื่อการลงทุน ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน พร้อมกับหั่นมุมมองความน่าเชื่อถือลงสู่ระดับ “เชิงลบ” ซึ่งถือเป็นจุดต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไทยเคยถูกประเมินโดยบริษัทจัดอันดับเครดิตเลยก็ว่าได้
ภายหลังจากผ่านพ้นวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 เศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวเป็นลำดับท่ามกลางการออกนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ บริษัทจัดอันดับเครดิตทยอยปรับมุมมองอันดับเครดิตของไทยไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทว่า ในระยะหลัง บริบทของความขัดแย้งทางการเมือง ความเปราะบางของเสถียรภาพภาครัฐที่ส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายของประเทศ กลับเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตอย่างต่อเนื่อง โดย Moody’s และ Fitch Ratings ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ระดับ Investment Grade แต่ระบุถึง “ความเสี่ยงด้านการเมือง” (Political Risk) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความกังวลต่อมุมมองภาพเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ท่ามกลางความไม่สงบทางการเมืองที่ยืดเยื้อเรื่อยมา ทั่วโลกกลับต้องเผชิญบททดสอบด้านเศรษฐกิจที่รุนแรงอีกครั้ง “วิกฤติโควิด-19” เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ไทยต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจที่ตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้มยำกุ้ง (เศรษฐกิจไทยหดตัวถึง 6.1% ในปี 2563) กิจกรรมทางเศรษฐกิจแทบจะหยุดชะงัก รายได้จากการท่องเที่ยวหายไปกว่า 90% ภาครัฐจึงจำเป็นต้องกู้เงินขนานใหญ่เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ และทำให้หนี้สาธารณะของไทยพุ่งทะลุระดับ 60% ต่อจีดีพีในช่วงต้นปี 2565 อย่างไรก็ตาม บริษัทจัดอันดับเครดิตทั้ง 3 แห่งยังคงอันดับความน่าเชื่อถือเอาไว้ โดยให้เหตุผลหลัก ๆ ว่าไทยมีฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศสูง มีสถาบันการเงินที่เข้มแข็ง และหนี้ต่างประเทศที่ค่อนข้างต่ำ (โดยในระหว่างนั้น Fitch และ Moody’s ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือจาก “เชิงบวก” เป็น “มีเสถียรภาพ”)
อย่างไรก็ดี หลังจากเปิดประเทศเต็มรูปแบบในปี 2565-2566 เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวได้เป็นลำดับจากภาคการท่องเที่ยวและ การบริโภคภายในประเทศ แต่ระดับการฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีความท้าทายรอบด้าน เช่น หนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงเกินระดับ 90% ของจีดีพี ภาวะการคลังตึงตัว ปัญหาเชิงโครงสร้างในมิติต่าง ๆ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังคงไม่พร้อมกัน (Uneven) ในทุกภาคส่วน ส่งผลให้แรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้นตามภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การชะลอตัวของการลงทุนภาคเอกชน ตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวที่ยังคงซบเซา จนเป็นเหตุให้ล่าสุด Moody’s หั่นมุมมองความน่าเชื่อถือลง แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้
สรุปแล้ว พัฒนาการอันดับเครดิตและมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เป็นภาพสะท้อนความสามารถในการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี ซึ่งการปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศในครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนดัง ๆ ให้ไทยต้องเอาจริงเอาจังกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างด้านการคลัง การบริหารจัดการเชิงรุกอย่างจริงจัง การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการฟื้นฟูศักยภาพทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความท้าทายจากภายในและภายนอกที่กำลังบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว







