‘โตเกียวมารีน’ปักธงโตเกิน ’หมื่นล้าน’ ฝ่าธุรกิจประกันซบ

‘โตเกียวมารีน’ปักธงโตเกิน ’หมื่นล้าน’ ฝ่าธุรกิจประกันซบ

‘โตเกียวมารีน’ฝ่าวิกฤติ‘ธุรกิจประกัน’ซบ มองปีนี้ครึ่งปีหลังธุรกิจประกันเจอ ‘ เผาจริง’ แต่ยังคงเป้าการเติบโตเกิน ‘หมื่นล้าน’ จ่อรีแบรนด์ ‘ประกันเด็ก’

‘โตเกียวมารีน’ปักธงโตเกิน ’หมื่นล้าน’ ฝ่าธุรกิจประกันซบ ในช่วงเศรษฐกิจที่อึมครึม ความสามารถในการเติบโตของธุรกิจประกันเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น

โดยเฉพาะจากสถานการณ์ดึงคนข้ามบริษัท การปรับพอร์ตลงทุน และการเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดทุนต่างๆนานา บวกกับ“กำลังซื้อของคน” ที่อ่อนแอลง จากเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางมากขึ้น เหล่านี้ยิ่งเป็นปัจจัยท้าทายอย่างมากกับหลายธุรกิจ โดยเฉพาะ “ธุรกิจประกัน

“ดร.สมโพชน์ เกียรติไกรวัล” ประธานที่ปรึกษาสำนักกรรมการผู้จัดการและสายงานตัวแทน บริษัท โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใต้เศรษฐกิจปัจจุบัน ในด้านธุรกิจประกัน มองว่าจะเผชิญกับภาวะ “เผาจริง” มากขึ้น

เผาจริง” ในที่นี้ หมายถึง ยอดขายของธุรกิจประกันหลังจากนี้ที่อาจไม่ได้ราบรื่นมากนัก ยอมรับว่าไตรมาสแรกผลประกอบการโดยรวมของหลายบริษัทที่ยังเติบโตได้

เป็นผลมาจากในช่วง 3 เดือนแรกของปีการเติบโตของธุรกิจประกันมาจาก การตื่นตระหนักของลูกค้า เรื่อง Copayment ที่เป็นตัวเร่งให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมากขึ้น และจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จากผลกระทบสงครามการค้า และหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบ หลังจากนี้ธุรกิจจะ “เหนื่อยขึ้น” โดยเฉพาะครึ่งปีหลัง

แต่สำหรับ “โตเกียวมารีน”มองว่าเป้าการเติบโตต่างๆ ยังคงเป็นไปตามแผน เพราะโตเกียวมารีนยังมีสินค้า “เรือธง” ที่แตกต่างจากตลาด ที่เป็นจุดผลักดันให้บริษัทยังคงสามารถเติบโตและชิงส่วนแบ่งตลาดมาได้พอสมควร

โดยเฉพาะจากผลิตภัณฑ์ประกัน “ยูนิตลิงก์” ที่โตเกียวมารีนถือเป็นบริษัทเดียว ที่ซื้อแล้วไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ซึ่งต่างจากคู่แข่ง ดังนั้น โตเกียวบียอนด์จะยังเป็นสินค้าเรือธง ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์ประกันอื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ประกันแบบสะสมทรัพย์ที่ยังรักษาการเติบโตได้ต่อเนื่อง

โดยเฉพาะ ยูนิตลิงก์ ที่ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเติบโต ปีนี้ที่ 10% จากเดิมตั้งเป้า 5% แต่ยอดขายทะลุเป้าไปแล้ว เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุนจากยูนิตลิงก์เพราะค่าใช้จ่ายสูง แต่โตเกียวมารีน มีจุดขายเพราะเรา “ไม่มีค่าใช้จ่ายแฝง”ดังนั้นหวังว่า โตเกียวบียอนด์ น่าจะมาทำให้ตลาดเกิดการเปรียบเทียบมากขึ้น ลูกค้าเข้าใจมากขึ้น

ฉะนั้น “โตเกียวมารีน” ปีนี้ ยังเป็นปีแห่งการยืนหยัดการเติบโต โดยคาดว่าเบี้ยรับรวมปีนี้จะยังเติบโตเกิน “หมื่นล้านบาท” จากปีก่อนที่ทำได้ 9.8 พันล้านบาท

“ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน มีผลต่อการซื้อประกันปีนี้ ทำให้คนมองว่าหากจะจ่ายก็ต่อเมื่อมั่นว่าได้ประโยชน์จริงๆ คนซื้อเลือกมากขึ้น

ดังนั้นประเทศไทยโอกาสโตเริ่มยากแล้ว อย่างแบงก์แอสชัวรันส์เริ่มเห็นแล้ว 3-4 เดือนที่ผ่านมาของแบงก์ใหญ่ๆเริ่มติดลบแล้ว เพราะขายสะสมทรัพย์เรื่อยๆแต่ก็ยังมีการดึงคนบ้าง ในช่วง 2-3ปีที่ผ่านมา ที่เราก็ถือเป็นความท้าทายของธุรกิจประกันต่อเนื่อง”

สมโพชน์” เล่าต่อว่า การตั้งเป้าหมายการเติบโต สำหรับเบี้ยรับร่วมปีนี้ที่ “หมื่นล้าน” ถือว่าไม่ง่ายนัก

แต่บริษัทก็หวังว่าจะยังคงรักษาระดับการเติบโตที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ จากช่วงที่ผ่านมาที่เขาเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า “โตเกียวมารีน” เหมือน “ถูกเผา” มาแล้วอย่างน้อย 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากมรสุมการ “ดึงคน” ในธุรกิจประกัน รวมไปถึงผลจากการขาดทุนจากการรับประกันสุขภาพเด็ก หรือกระแสข่าวโจมตีว่า “โตเกียวมารีน” จะมีการขายบริษัทต่างๆ ซึ่งเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด

เขายกตัวอย่างว่า “โตเกียวมารีน” เปรียบเสมือน “เซเว่น” ที่มีร้านสะดวกซื้อเต็มไปหมด ที่ต้องมีร้านที่ดีและร้านที่มีปัญหาบ้าง แต่ที่ผ่านมาที่เป็นกระแสคือมาจากธุรกิจโตเกียวมารีนในสิงคโปร์มีปัญหา และคิดว่าจะขายธุรกิจ ทำให้ถูกเหมารวมว่า “โตเกียวมารีน” ของไทยจะถูกขายกิจการไปด้วยในครั้งนี้ 

เหล่านี้ถือเป็น “มรสุม” สำหรับ “โตเกียวมารีน” ไม่น้อย แต่เขาเชื่อหลังจากนี้ฟ้าเริ่มเปิด และเริ่มสะท้อนให้เห็นผ่านผลประกอบการของบริษัทที่จะเริ่มผลิดอกออกผล และเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้

ส่วน “ประกันสุขภาพเด็ก” เขากล่าวว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะกลับมาขายอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านมา บริษัทมียอดการเคลมสินไหมจากประกันเด็กไปกว่า 2,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทประสบผลขาดทุนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

แต่หลังจากที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้มีการเรียกประชุมบริษัทประกันชีวิตทุกแห่งเพื่อขอความร่วมมือให้กลับมาขายประกันเด็กอีกครั้ง 

ดังนั้น หากจะออกผลิตภัณฑ์ในระยะข้างหน้า บริษัทอาจต้องมีการปรับเงื่อนไขโดยการกำหนดให้มีการวงเงินความรับผิดชอบส่วนแรก (Deductible) เช่นในวงเงิน 10,000-20,000 บาท เพื่อให้ครอบครัวเด็กคำนึงถึงความจำเป็นในการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมากขึ้นและลดผลกระทบจากผลขาดทุนของบริษัทในระยะข้างหน้า