‘แบงก์พาณิชย์’ ลุยหั่นดอกเบี้ย ลดภาระลูกหนี้ - รับมือ ศก.ชะลอ

“แบงก์พาณิชย์” เดินหน้าหั่น “ดอกเบี้ยลง” ตามทิศทาง กนง. หวังช่วยพยุง “ลูกหนี้” ลดภาระ หนุนรับมือเศรษฐกิจไทยเปราะบาง หลังตัวเลข “จีดีพี” ขยายตัวต่ำรั้งท้ายอาเซียน
สถานการณ์ปัจจุบัน “ประเทศไทย” กำลังเจอปัญหา “เศรษฐกิจ” เติบโตชะลอตัว สะท้อนจาก “จีดีพี” ที่ขยายตัวต่ำรั้งท้าย “อาเซียน” ปัจจัยสำคัญนอกจากผลกระทบจากกำแพงภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์” แล้ว ยังมีปัจจัยกระทบจากปัญหาโครงสร้างภายในประเทศเฉพาะตัว ทั้งหนี้ระดับสูง กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ และภาคการลงทุนชะลอตัว
สารพัดปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ “ภาคการเงิน” โดยเฉพาะ “ธนาคารพาณิชย์” (แบงก์) จำเป็นต้องตั้งการ์ดสูง และใช้ความระมัดระวังใน “การปล่อยสินเชื่อ”
สะท้อนผ่านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 หดตัว 1.3% สาเหตุหลักมาจากการคืนหนี้ในระดับสูงของภาคธุรกิจ และภาครัฐ รวมถึงการชะลอการลงทุนของธุรกิจต่างๆ สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs และสินเชื่อบ้าน
ดังนั้น ที่ผ่านมาจะเห็นแบงก์พาณิชย์ต่างๆ ให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือลูกค้า สะท้อนจากมาตรการล่าสุดที่สำคัญ และครอบคลุมในปัจจุบันสำหรับการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ออกมาจาก ธปท. และธนาคารพาณิชย์/สถาบันการเงินของรัฐ
ธปท. หารือ “แบงก์พาณิชย์” ช่วยลูกหนี้
น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในส่วนที่กระทรวงการคลัง ขอความร่วมมือถึงธนาคารพาณิชย์ให้หั่นกำไรเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงที่ผ่านมานั้น ธปท.ได้หารือกับกระทรวงการคลังต่อเนื่อง
โดยล่าสุดอยู่ระหว่างการหารือเพิ่มเติมเพื่อออกมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ระยะที่ 2 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันของกระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ สมาคมสถาบันการเงินแห่งรัฐ สมาคมธนาคารไทย เพื่อทำมาตรการร่วมกัน และเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการชุดต่างๆ
โดย ธปท.คาดว่า “คุณสู้เราช่วย” ระยะที่ 2 จะเปิดตัวได้ช่วงกลางหรือปลายเดือนมิ.ย. ก่อนที่มาตรการ “คุณสู้เราช่วย” จะหมดมาตรการในระยะ 1 สิ้นเดือนมิ.ย.นี้
สำหรับการขอให้ธนาคารหั่นกำไรแบงก์เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ มองว่าปัจจุบันมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” มีผลต่อกำไรของธุรกิจธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วเพราะครึ่งหนึ่งของมาตรการมาจากการควักกำไรของแบงก์มาช่วยลูกหนี้ ซึ่งกำไรส่วนหนึ่งของแบงก์ที่ลดลงในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ก็เป็นผลมาจากโครงการคุณสู้เราช่วย
ส่วนการส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงสิ้นเดือนเม.ย.2568 ที่ผ่านมานั้น ยอมรับว่ามีการส่งผ่านไปสู่ธนาคารพาณิชย์ต่ำ หากเทียบกับรอบที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะ 2 รอบก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว ทำให้ผลจากการส่งผ่านอาจมีไม่มากเท่ากับที่ผ่านมา แต่หากดูการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งติดต่อกันตั้งแต่ปลายปี 2567 จนถึงปัจจุบัน มองว่ามีการส่งผ่านดีกว่าช่วงปี 2563-2564
ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ทำให้เกิดการกระตุ้นสินเชื่อ เพราะปัจจัยสำคัญของการปล่อยสินเชื่อมาจาก Credit risk ของลูกหนี้ที่อยู่ระดับสูง ดังนั้น การลดดอกเบี้ยของ กนง. เป็นการช่วยลดภาระหนี้ของลูกหนี้มากกว่ากระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ
“ถามว่าลดภาระได้มากหรือน้อย ตอนขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ส่งผ่านก็ไม่เต็ม 100% อยู่แล้ว ดังนั้น ภาระดอกเบี้ยขาลงก็เช่นกัน การส่งผ่านก็ไม่เต็ม 100% การลดภาระก็ขึ้นอยู่กับยอดหนี้ด้วยว่ามีมากน้อยแค่ไหนด้วย”
แบงก์แห่ลดดอกเบี้ยช่วยลูกหนี้
สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ นับตั้งแต่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 30 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา พบว่ามีหลายธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง เพื่อลดภาระลูกหนี้
เริ่มที่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลดลงเพื่อสนับสนุนสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ และแบ่งเบาภาระเพื่อให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และบริหารจัดการรายจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุดที่ 0.15% โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลด 0.08% จาก 7.05% เป็น 6.97% ,อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลด 0.15% จาก 7.09% เป็น 6.94% ,อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลด 0.05% จาก 7.08% เป็น 7.03% นอกจากนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง 0.05%-0.20% ให้สอดคล้องกัน
“กรุงไทย” ผุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพิ่ม
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ก็ปรับลดดอกเบี้ยเช่นกัน สูงสุด 0.15% ต่อปี เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งดูแลภาระการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป นอกจากนี้ ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.075%-0.20% ต่อปี มีผลในวันที่ 15 พ.ค.2568
โดยอัตราดอกเบี้ย MOR ปรับลดลงจากปัจจุบัน 7.020% ต่อปี เป็น 6.870% ต่อปี , อัตราดอกเบี้ย MLR ปรับลดลงจากปัจจุบัน 6.825% ต่อปี เป็น 6.750% ต่อปี, อัตราดอกเบี้ย MRR ปรับลดลงจากปัจจุบัน 7.345% ต่อปี เป็น 7.295% ต่อปี
ไม่เพียงแต่ลดดอกเบี้ย แต่ธนาคารกรุงไทยยังดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้สามารถปรับตัว และสร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ โดยออกมาตรการความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
รวมถึงการร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านสินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน สินเชื่อกรุงไทยรวมหนี้ (ภาคประชาชน) และ สินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงิน ที่ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ลดภาระทางการเงิน เสริมสภาพคล่องการทำธุรกิจ รวมถึง คุณสู้ เราช่วย จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.2568
ทีทีบี ขึ้นดอกเบี้ยออมทรัพย์ ลดกังวลสภาพคล่อง
สำหรับ “ทีทีบี” ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.15% ต่อปี สอดคล้องกับมติ กนง. เพื่อช่วยลดภาระทางการเงินให้กับลูกค้ารายย่อย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และลูกค้าธุรกิจ สามารถตั้งรับกับเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบการค้าโลก
โดยลดดอกเบี้ย MOR ลดลง 0.15% ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MLR ลดลง 0.10% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ย MRR ลดลง 0.05% ต่อปี
นอกจากนี้ยังมองถึงความสำคัญในเรื่องการออมภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ บัญชี ทีทีบี โนฟิกซ์ สูงสุด 0.40% ต่อปี ซึ่งเป็นบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ที่จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือนและถอนเมื่อไรก็ได้ ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความกังวลเรื่องสภาพคล่อง มีผลวันที่ 1 มิ.ย.2568
และยังมีแนวทางช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่องผ่านคุณสู้เราช่วย และล่าสุดมีโปรแกรม “ทีทีบี ผ่อนดี.. มีรางวัล” ที่ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่มีประวัติผ่อนดี ถือเป็นลูกค้าอีกกลุ่มที่สำคัญ และยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือ ตลอดจนช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ และการส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถจัดการภาระหนี้ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ประกาศผ่านเว็บไซต์ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยลดอัตราดอกเบี้ย MLR เหลือ 6.750% ต่อปี จาก 6.825% ต่อปี ดอกเบี้ย MOR 6.925% ต่อปี จาก 7.075% ต่อปี และลดดอกเบี้ย MRR เหลือ 7.025% จาก 7.075% ต่อปี
เช่นเดียวกับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก โดยลดดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 6.75% จาก 6.825% MOR อยู่ที่ 7.00% จาก 7.10% ดอกเบี้ย MRR อยู่ที่ 6.90% จาก 6.95%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







