เปิดร้านตัดผม ทำร้านเสริมสวย มีภาษีอะไรที่ต้องจ่ายบ้าง

เปิดร้านตัดผม ทำร้านเสริมสวย มีภาษีอะไรที่ต้องจ่ายบ้าง

อาชีพรับตัดผม เสริมสวย จัดเป็นอาชีพที่ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องเสียภาษีหากเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะมีภาษีอะไรบ้างไปเฉลยพร้อมกัน

เนื่องจากร้านตัดผม ร้านเสริมสวย โดยเฉพาะร้านตัดผมวินเทจเกิดเป็นกระแสมาได้หลายปีแล้ว จนสร้างอาชีพให้กับใครหลายๆ คน โดยอาจไม่รู้เลยว่าช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้ได้วางแผนเรื่องภาษีกันไว้อย่างไรบ้าง

บางรายอาจเสียภาษีปีละครั้ง บางรายเสียภาษีปีละ 2 ครั้ง หลายๆ รายเสียภาษีแค่บางตัว หรือบางรายอาจยังไม่เคยยื่นภาษีเลยก็คาดว่าต้องมีอย่างแน่นอน แต่อาชีพรับตัดผม เสริมสวย จัดเป็นอาชีพที่ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องเสียภาษีหากเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะมีภาษีอะไรบ้างไปเฉลยพร้อมกัน...

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ได้ทำแบบบุคคลธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีการจัดตั้งเป็นบริษัท หน้าที่ในการเสียภาษีแรกหากรายได้ถึงเกณฑ์คือ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” โดยจัดอยู่เงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 หรือมาตรา 40(8) ซึ่งสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือแบบเหมา 60% หรือเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง (ต้องมีเอกสารหลักฐาน ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีให้ครบ)

จากนั้นนำมาเข้าสูตรการคำนวณภาษีคือ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี = ภาษีที่ต้องจ่าย โดยยอดตัวเลขที่ต้องนำมาคูณกับอัตราภาษีก้าวหน้า มีดังนี้

  • รายได้สุทธิ 1 - 150,000 บาท : ได้รับการยกเว้น
  • รายได้สุทธิ 150,001 - 300,000 บาท : อัตราค่าภาษี 5% (เสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท)
  • รายได้สุทธิ 300,001 - 500,000 บาท : อัตราค่าภาษี 10% (เสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 27,500 บาท)
  • รายได้สุทธิ 500,001 - 750,000 บาท : อัตราค่าภาษี 15% (เสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 65,000 บาท)
  • รายได้สุทธิ 750,001 - 1,000,000 บาท : อัตราค่าภาษี 20% (เสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 115,000 บาท)
  • รายได้สุทธิ 1,000,001 - 2,000,000 บาท : อัตราค่าภาษี 25% (เสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 365,000 บาท)
  • รายได้สุทธิ 2,000,001 - 5,000,000 บาท : อัตราค่าภาษี 30% (เสียภาษีสูงสุดไม่เกิน 1,265,000 บาท)
  • รายได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป บาท : อัตราภาษี 35% (เสียภาษีมากกว่า 1,265,000 บาท) 

ทั้งนี้ ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ที่ประกอบธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา จะต้องยื่นภาษี 2 ช่วง ประกอบด้วย

- ภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) ให้นำรายได้ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน ของปีภาษีนั้น มายื่นภาษีช่วงเดือนกรกฎาคม - กันยายน ของปีที่มีเงินได้ หรือยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตได้ภายในวันที่ 8 ตุลาคมของทุกปี

- ภาษีสิ้นปี (ภ.ง.ด.90) ให้นำรายได้ช่วงเดือนมกราคม - ธันวาคม ของปีภาษี ยื่นภาษีตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม ของปีถัดไป หรือยื่นผ่านอินเตอร์เน็ตภายในวันที่ 8 เมษายนของทุกปี

ภาษีเงินได้นิติบุคคล

กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจร้านตัดผม ร้านเสริมสวย ได้จดบริษัทเป็นนิติบุคคล หน้าที่ที่สำคัญสำหรับนิติบุคคลคือ ต้องมีการทำบัญชีภาษีตามกฎหมายกำหนด เพื่อให้ทำสามารถยื่นภาษีได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องโดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลังหรือเสียค่าปรับในกรณียื่นภาษีล่าช้า ส่วนบัญชีที่จัดทำขึ้นสามารถนำไปใช้วางแผนการดำเนินกิจการต่อในอนาคตได้

ทั้งนี้ วิธีการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้นำรายได้ทั้งหมดหักด้วยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งรายจ่ายที่นำมาใช้หักเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการร้านเสริมสวยได้ เช่น ค่าเช่าสถานที่ ค่าแรงช่างเสริมสวย ค่าจ้างพนักงานในร้านเสริมสวย ค่าใช้จ่ายวัสดุต่างๆ ยาสระผม ครีมต่างๆ ที่ไว้บริการลูกค้า ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่เกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง

จากนั้นนำมาเข้าสูตรการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ (รายได้ – ค่าใช้จ่าย) = กำไรสุทธิ โดยนำกำไรสุทธิที่ได้มาคิดภาษีเปรียบเทียบตามอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดที่ 20%

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีสำหรับธุรกิจร้านตัดผม ร้านเสริมสวยที่เมื่อรายได้จากการประกอบธุรกิจเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องไปยื่นแบบ ภ.พ.01 เพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ภายใน 30 วัน นับจากวันที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้าน และเมื่อจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านแล้ว ให้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า โดยมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่ต้องปฏิบัติเพิ่มเติมคือ

- ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการ และออกใบกำกับภาษีให้กับลูกค้าหลังจากได้รับเงินหรือส่งมอบสินค้าทุกครั้ง (วิธีคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ มูลค่าบริการหรือสินค้า x 7% = ภาษีมูลค่าเพิ่ม)

- ขอใบกำกับภาษีทุกครั้งที่มีการซื้อ หรือรายจ่ายที่เกี่ยวกับกิจการร้านตัดผม ร้านเสริมสวย เพื่อนำภาษีซื้อไปหักกับภาษีขาย หรือเครดิตภาษีขายในเดือนถัดไปได้ เช่น ค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำยาต่างๆ ที่ซื้อเข้ามาเพื่อให้บริการลูกค้า รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ใช้ในร้าน

- มีหน้าที่จัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบ รายงานภาษีขาย ยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ.30 ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือนแก่กรมสรรพากร

ภาษีป้าย

กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจร้านตัดผม ร้านเสริมสวย มีป้ายติดหน้าร้านในจุดที่เป็นสาธารณะเห็นโดยทั่วไป เช่น มีการติดตั้งป้ายใหม่หรือแสดงป้ายใหม่หน้าร้านที่เห็นเด่นชัด ป้ายโฆษณา ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องเสียภาษีป้าย โดยชำระภาษีป้ายได้ที่ เทศบาล , องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) , กรุงเทพมหานคร (ติดต่อสำนักงานเขต) , เมืองพัทยา ต่อเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน และจากนั้นต้องยื่นชำระภาษีป้ายทุกปีที่ยังติดตั้งป้ายอยู่

ทั้งนี้ ภาษีป้ายที่ต้องเสียจะคำนวณจากขนาดของป้าย และประเภทตัวอักษรไทยหรืออังกฤษที่ร้านตัดผม ร้านเสริมสวยใช้

ภาษีขยะ

หลายคนอาจสนใจว่ามีภาษีขยะด้วยหรือ ซึ่งความจริงแล้ว ขยะที่เกิดจาการตัดผม เสริมสวยนั้นค่อนข้างเยอะ และบางอย่างก็อันตราย ซึ่งภาษีขยะจะขึ้นอยู่กับอัตราจัดเก็บของแต่ละเขต เทศบาล โดยอาจพิจารณาจากปริมาณขยะ ของเสียที่ต้องจัดเก็บและนำไปทำลาย

สรุป...เปิดร้านตัดผม เสริมสวยก็ต้องเสียภาษี

ภาษีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีป้าย หรือแม้แต่ภาษีขยะ หากเจ้าของร้านตัดผม ร้านเสริมสวย เข้าเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีในส่วนไหนบ้าง อย่าลืมวางแผนภาษีให้ดีก่อนยื่นภาษี จะช่วยให้ประหยัดเงินในกระเป๋าได้ และไม่ทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัวด้วย

 

อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษีเพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting