อเมริกายุคไม้หลักปักเลน ภาษีนำเข้าเท่าไหร่แน่?

อเมริกายุคไม้หลักปักเลน ภาษีนำเข้าเท่าไหร่แน่?

ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯย้ำว่า ประเทศใดก็ตามที่ยังไม่ได้แสดงความจริงใจและเจรจาอย่างเป็นรูปธรรมกับสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับกลับไปในราคาในอัตราสูงที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน ในกรณีของไทยที่ 36% เป็นต้น

สำนวน “ไม้หลักปักเลน” ใช้เปรียบกับผู้ใหญ่ที่ยึดถือเป็นหลักเป็นที่พึ่งไม่ได้ เพราะเป็นคนโลเล ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน สหรัฐอเมริกามีผู้บริหารประเทศที่เปลี่ยนใจกลับไปกลับมา จนเกิดความว้าวุ่นและลังเลไปทั่วโลก

ผู้ส่งออกในไทยแทบจะกำหนดแผนงานอะไรไม่ได้เลย การพึ่งพาตลาดอเมริกามาเป็นเวลานานทำให้เกิดอาการช็อก หากการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐไม่เป็นผลสำเร็จก็เกรงว่าภาษีอากรของสินค้าไทยเข้าอเมริกาจะขยับขึ้นจาก 10% ซึ่งเป็นระดับชั่วคราวจนถึงประมาณ 9 กรกฎาคมมาเป็นอัตรา 36% ที่สะเทือนขวัญมาแล้วเมื่อต้นเดือนเมษายน

ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับผู้นำภาครัฐซึ่งปลอบใจว่ากำลังทำอย่างสุดความสามารถ โดยติดต่อกับทุกฝ่ายหาช่องทางสร้างสรรค์เพื่อผ่อนหนักเป็นเบา และได้ส่งข้อเสนอถึงมือเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอเมริกาตอบรับแล้ว

ผลจากการเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 ที่ผ่านมาระหว่างผู้แทนของสหรัฐฯและจีนนั้นดูเหมือนจะช่วยลดความตึงเครียดไปอีก 90วัน หลังจากการประชุม ผู้แทนทั้งสองฝ่ายย้ำว่า ยังต้องนำเรื่องนี้กลับไปสนทนาในเชิงลึกและรับการยืนยันจากผู้นำของประเทศตน

ข่าวที่ออกมาเบื้องต้นโดยสังเขปทำให้หลายคนเชื่อว่า สองมหาอำนาจลดภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วันจนถึง 12 สิงหาคม ค.ศ. 2025 ดังนี้

สหรัฐฯลดภาษีสินค้าจากจีนลงจากอัตรา 145% เหลือ 30%

ขณะที่จีนลดอัตราภาษีสินค้าสหรัฐฯจาก 125% เป็น 10%

ต่อมามีข้อมูลเพิ่มขึ้นว่าอัตราที่กล่าวนั้นยังต้องแยกแยะออกเป็นหลายประเภทและยังมีความสับสนเรื่องรายละเอียดอยู่มาก สร้างความปวดหัวให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในการส่งออกและนำเข้าสินค้าจากจีนมาอเมริกา กว่าจะรู้ว่าภาษีนำเข้านั้นแท้จริงเท่าใดก็ต่อเมื่อสินค้านั้นมาถึงด่านศุลกากรแล้ว

ความไม่ชัดเจนทำให้หลายบริษัทเกิดความลังเลในการวางแผนธุรกิจและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ราคาสินค้าขายส่งและปลีกเปลี่ยนไปมาและแตกต่างกันจากร้านหนึ่งไปอีกร้านหนึ่ง บางแห่งมีการกักตุนสินค้าหรือบางแห่งไม่ขายสินค้าบางชนิดจากบางประเทศเลย เนื่องจากไม่แน่ใจว่าจะคุ้มทุนหรือไม่

ทันทีที่การเจรจาที่สวิตเซอร์แลนด์สิ้นสุด ตลาดหุ้นในสหรัฐฯขยับขึ้นต้อนรับข่าวดี เนื่องจากเชื่อว่าความกดดันทางการเมืองภายในสหรัฐอเมริกาเรื่องสินค้าราคาแพงหรือเงินเฟ้อหรือสินค้าขาดตลาดและอาจมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไปนั้นทำให้ทำเนียบขาวจำเป็นต้องประนีประนอมครั้งนี้และคงจะประนีประนอมต่อไปอีกอย่างแน่นอน

แม้อัตราภาษีสุดโต่งนั้นลดลงมาบ้างแล้ว แต่ผู้ประกอบการธุรกิจส่วนใหญ่ในสหรัฐฯและผู้ลงทุนในตลาดหุ้นยังมีความกังวลว่า อัตราภาษีศุลกากรอาจจะเปลี่ยนแปลงอีก เนื่องจากทำเนียบขาวชุดทรัมป์ 2.0 นั้นไม่คงเส้นของวา จนทำให้แทบจะเชื่อถือไม่ได้

บริษัทค้าปลีกใหญ่สุดของสหรัฐฯคือ Walmart เพิ่งออกมาประกาศเตือนว่า ภาษีนำเข้านั้นเป็นภาระที่ผู้บริโภคต้องเตรียมตัวเผชิญหน้ากับราคาที่จะสูงขึ้นและบริษัทจำเป็นต้องปรับราคาขึ้นภายในเดือนหน้า

ในวันรุ่งขึ้นทรัมป์โทรศัพท์ด้วยความกริ้วกดดันให้ CEO ของ Walmart หาทางรับภาระเรื่องนี้ให้ได้ภายในบริษัทและเจรจากับผู้ส่งออกทางจีนเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค(กดราคา)แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่าผู้นำเข้าต่างๆรวม Walmart ทั้งจำเป็นต้องขึ้นราคาอย่างแน่นอน บางบริษัทเช่น Home Depot ออกมาประกาศเป็นการเอาใจทรัมป์ว่า จะยังไม่ขึ้นราคาแต่มีข่าวจากวงในว่าสินค้าหลายประเภทจะขาดตลาด

เรื่องนี้กลายเป็นการเมืองภายในสหรัฐฯอย่างเฉียบพลัน เพราะเป็นปัญหาที่ทุกคนจับต้องได้ และสะเทือนถึงเศรษฐกิจในครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มที่มีเศรษฐกิจระดับล่างและกลาง รวมทั้งผู้ที่อยู่อาศัยในชนบทซึ่งอยู่ในรัฐที่ลงคะแนนเสียงให้พรรครีพับลิกันเป็นสัดส่วนสูง สังเกตว่าคะแนนนิยมของทรัมป์ร่วงมาอยู่ในเขตอันตรายที่ประมาณ 41% จากเมื่อตอนเข้ารับตำแหน่งที่ 52%

ปี 2024 Walmart นำเข้าจากจีน $50,000 ล้านเหรียญ หรือ 870,000 ตู้คอนเทนเนอร์

จากเดิม Walmart พึ่งพาสินค้าจากจีนประมาณ 60% แต่ลดลงในปี 2025 ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา Walmart นำเข้าสินค้าจากจีน 34.1% ตามด้วยอินเดีย 26.3% และฮ่องกง 10.6%

หากพิจารณาดูรายละเอียดของอัตราภาษีสินค้าแต่ละประเภทซึ่งแตกต่างกันนั้นทาง Walmart ระบุว่าโดยเฉลี่ยแล้วภาษีนำเข้าต่อสินค้าที่มาจากจีนนั้นเกิน 30%

แยกเป็นประเภทเครื่องนุ่งห่ม รองเท้า กระเป๋า เป้สะพายหลังและอื่นๆ ในอัตรา 40-70% ซึ่งของเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากจีน

ส่วนผู้นำเข้ารายอื่นๆนั้นมีรายงานโดยกลุ่มการค้าว่าอัตราศุลกากรที่ต้องจ่ายนั้นแท้จริงแล้ว 70%

ซึ่งรวมถึงการกำหนดชั้นของภาษีศุลกากรที่มีอยู่ 17.6% และภาษีศุลกากรตามมาตรา 301 (ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม) 25% โดยภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าจีน 30% ไม่ได้รวมอยู่ในช่วงหยุดชะงักนี้- ภาษีศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิล 20% และภาษีศุลกากรซึ่งกันและกัน 10%

พิจารณาจากผลิตภัณฑ์รองเท้าเป็นตัวอย่างโดยรองเท้าผ้าใบสำหรับเด็กหรือผู้หญิงที่มีส่วนบนเป็นหนังจะต้องเสียภาษีนำเข้า 40% โดยคำนวณภาษีนำเข้ามาตรฐานของ “ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด” ตามกฎของ WTO ที่ 10% บวกกับภาษีนำเข้าเฟนทานิลและภาษีนำเข้าอื่นๆ อีก 30%

การรวมกันเสียภาษีดังกล่าวทำให้ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าปลีกอื่นๆ สูงกว่า 30% มาก

ซึ่งรวมถึง:

เสื้อสเวตเตอร์ฝ้ายจากจีนต้องเสียภาษีนำเข้า 46.5% (ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด 16.5% บวกกับภาษีนำเข้าเฟนทานิลและภาษีนำเข้าอื่นๆ อีก)

ชุดว่ายน้ำผู้หญิงจากจีนต้องเสียภาษีนำเข้า 54.9% (ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด 24.9% บวกกับภาษีนำเข้าเฟนทานิลและภาษีนำเข้าอื่นๆ อีก)

ชุดเดรสเด็กจากจีนต้องเสียภาษีนำเข้า 41.5% (ประเทศที่ได้รับความอนุเคราะห์สูงสุด 11.5% บวกกับภาษีนำเข้าเฟนทานิลและภาษีนำเข้าอื่นๆ อีก)

ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯย้ำว่าประเทศใดก็ตามที่ยังไม่ได้แสดงความจริงใจและเจรจาอย่างเป็นรูปธรรมกับสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับกลับไปในราคาในอัตราสูงที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายน (ในกรณีของไทยที่ 36%) เป็นต้น

ขณะเดียวกันผู้ผลิตและผู้ส่งออกในจีนพยายามดิ้นรนหาวิธีในการส่งสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯหรือใช้ประเทศอื่นเป็นทางผ่าน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐในไทยต้องร่วมมือกันติดตามสอดส่องอย่างใกล้ชิดไม่ให้เกิดการสวมสิทธิ์หรือนำสินค้าจีนมาแปลงโฉมปิดสลาก “เมดอินไทยแลนด์” เนื่องจากทางการสหรัฐฯเตรียมลงโทษประเทศที่เป็นทางผ่านด้วย