‘เงินต่างชาติ’ซบบอนด์ไทย สบน.ยันไม่ใช่’เงินร้อน’ลงทุนกลาง-ยาว

‘เงินต่างชาติ’ซบบอนด์ไทย สบน.ยันไม่ใช่’เงินร้อน’ลงทุนกลาง-ยาว

สบน.” ชี้ “เงินทุนต่างชาติ” ไหลเข้า “บอนด์ไทย” ระยะกลาง-ยาวมากเกินคาด ย้ำไม่ใช่ “เงินร้อน” แม้ภาพศก.ไทยเปราะบาง แต่ “การคลัง” แกร่ง ThaiBMA ชี้ตราสารหนี้ไทยมีเสถียรภาพ

หนึ่งในปัจจัยทำให้ “เงินบาทแข็ง” ในรอบสัปดาห์นี้แตะระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ ปัจจัยหลักๆ มาจาก “เงินลงทุนต่างชาติ” ไหลเข้า “ตลาดตราสารหนี้ไทย” ทั้งระยะสั้นหรือที่มีอายุยาวมากขึ้น หลังจาก “เงินดอลลาร์” สูญเสียความเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” หลังจาก"

โดนัลด์ ทรัมป์” ดำเนินนโยบายการค้าแบบสุดโต่ง สอดรับตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงวานนี้(22 พ.ค.2568) ต่างชาติยังซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยกว่า 70,000 ล้านบาท และอนาคตด้วยนโยบายของทรัมป์ ที่ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง มองว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าได้เช่นกัน

นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า การเปิดประมูลพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว วงเงิน 8,000 ล้านบาท ครั้งล่าสุดปรากฏว่ามีผู้เสนอซื้อเข้ามามากกว่า 2 เท่า และเกินครึ่งเป็นกองทุนต่างชาติ สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนทั่วโลกต่อภาคการเงินการคลังของไทย แม้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อมูดี้ส ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตไทยจากระดับ Stable เป็น Negative ก็ตาม

ทั้งนี้ จากการสังเกตพฤติกรรมเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามา ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่เงินร้อน (Hot Money) ที่เข้าเร็วออกเร็ว โดยกองทุนเหล่านี้ต้องบริหารความเสี่ยง เลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่สูงมาก แต่มีความเสี่ยงต่ำ

“ตลาดตราสารหนี้ไทยตอนนี้ดีมาก ถือว่าดีเกินคาด และน่าจะต่อเนื่องไปถึงสิ้นปี แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ แต่ด้านการคลังของไทยยังค่อนข้างแข็งแรง และสามารถใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้”

‘เงินต่างชาติ’ซบบอนด์ไทย สบน.ยันไม่ใช่’เงินร้อน’ลงทุนกลาง-ยาว

บล.กรุงศรีฯชี้เงินไหลเข้าแบบเร่งตัว

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ล่าสุดเม็ดเงินไหลเข้าสู่ “ตลาดพันธบัตร” ค่อนข้างมาก ในลักษณะเร่งตัวขึ้นมา สะท้อนผ่านการมี “เม็ดเงิน” (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าพันธบัตรไทยตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ ในไตรมาส 2 ปี 2568 เงินต่างชาติไหลเข้ามาถึงระดับ 1,700 ล้านดอลลาร์ โดยที่ไหลเข้ามากสุดเป็นพันธบัตรระยะกลาง และพันธบัตรระยะยาว

ขณะที่ “ตลาดหุ้นไทย” ยังเป็นภาพของการพักตัว ยังรอปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามา ทำให้โมเมตัมของเงินที่เข้าเอเชียเร่งขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรวมถึงพันธบัตรบ้านเราด้วย โดยคาดว่าน่าจะเป็นจิตวิทยาบวกในระยะถัดไปของ “ตลาดหุ้นไทย” ในแง่ของ “สภาพคล่อง” ที่จะมีเพิ่มมากขึ้น

นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สัปดาห์นี้เงินบาทยังแข็งค่าขึ้นจากเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย ทั้งสั้นหรือที่มีอายุยาวมากขึ้น หลังจากเงินดอลลาร์สูญเสียความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากทรัมป์ดำเนินนโยบายการค้าแบบสุดโต่ง

ในตลาดหุ้นไทยอาจยังไม่ไหลเข้าชัดเจน เพราะยังไม่มีความโดดเด่นและตั้งแต่ต้นปีจนถึง 9 พ.ค. ต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิถึง 55,000 ล้านบาท รวมถึงคาดหวังการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ในช่วงพักรบสงครามการค้าของสหรัฐ 90 วัน และหากการเจรจาการค้าสหรัฐกับไทย มีข้อตกลงใกล้เคียงประเทศคู่ค้าอื่นๆ จะหนุนให้ส่งออกกลับมาดี และเศรษฐกิจไทยในปีนี้ฟื้นตัว

 

ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าสะสม 7 หมื่นล้าน 

นางสาวอริยา ตีรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า สถานการณ์ฟันด์โฟลว์ในตลาดตราสารหนี้ มองว่าเป็นเคลื่อนไหวของตลาดตามปกติ ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไทยยังมีเสถียรภาพ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวานนี้ (22 พ.ค.2568) ต่างชาติยังซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยกว่า 70,000 ล้านบาทและอนาคตด้วยนโยบายของทรัมป์ ที่ทำให้ตลาดมีความผันผวนสูง มองว่ามีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าได้เช่นกัน

นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจับ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ฟันด์โฟลว์ยังไหลเข้าบอนด์ไทยต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี สะสม 70,000 กว่าล้านบาท สะท้อนว่าไม่ใช่เงินร้อน และช่วงระหว่างนี้ต่างชาติน่าจะซื้อสลับขาย แต่คาดว่า แนวโน้มหลักยังเป็น “ซื้อ” จนกว่ามองเห็นผลกระทบ เงินเฟ้อสหรัฐ ให้ชัดเจนในช่วง 1-2 เดือนนี้ 

“ถ้าหากระยะถัดไปเทียบทิศทางดอกเบี้ยไทยน่าจะลงมากว่าดอกเบี้ยสหรัฐมองว่าจะมีการ “ขายบอนด์ไทย”เพราะซื้อไปค่อนข้างมาก แต่ภาพใหญ่ น่าจะยังเป็น “ซื้อบอนด์ไทย” อยู่ จากความกังวลผลกระทบของมาตรการภาษีสหรัฐ ทำให้มีความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจขยับขึ้น และทำให้เฟดไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้”

นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล. กสิกรไทย กล่าวว่า เดือน พ.ค.นี้ กระแสฟันด์โฟลว์ยังดูผันผวน แต่เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าจากแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนลงบนความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจเจรจาข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆ ไม่ทันภายในกำหนด 90 วัน รวมถึงคาดอาจมีเม็ดเงินจากการเร่งขายสินค้าส่งออกก่อนสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีนำเข้าช่วยหนุนให้เงินบาทปรับแข็งค่าในช่วงนี้ มองหุ้นที่ประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งเช่น กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มพลังงาน โรงไฟฟ้า และขนส่ง เช่น PTTGC SPRC TOP BGRIM GPSC AAV BA

เรายังคงแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ตั้งรับและระมัดระวังเนื่องจากตลาดทั้งหุ้นไทยและหุ้นโลกฟื้นตัวขึ้นมาแรงนับตั้งแต่สหรัฐ ประกาศเลื่อนขึ้นภาษีนำเข้าออกไป 90 วัน ขณะที่ความคืบหน้าเรื่องข้อตกลงการค้ายังไม่ชัดโดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย มองทิศทางตลาดหุ้นไทยยังเป็นการแกว่งตัวทรงหรือลง แนวต้านที่บริเวณ 1,200 และ 1,215 จุดยังเป็นแนวต้านที่ผ่านยากหากไม่ปัจจัยบวกชัด

“เงินแข็งค่า”ชั่วคราวแต่กระทบวงกว้าง

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบีไทย กล่าวว่า สถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ถือเป็นสัญญาณที่น่าห่วง และมีแนวโน้มที่เงินบาทจะแข็งค่าต่อเนื่องไปแตะระดับ 32บาทต่อดอลลาร์หรือต่ำกว่านั้นได้ จากทิศทางของนักลงทุนที่อาจมีแรงซื้อกลับเข้ามาในเงินบาท ที่จะมีผลทำให้เงินบาทยิ่งแข็งค่า

นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เงินบาทแข็งกว่าเพื่อนบ้านในภูมิภาค ไม่ใช่เพียงเพราะดอลลาร์อ่อนค่า แต่เพราะประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าทองคำในภูมิภาค เมื่อราคาทองคำโลกพุ่ง นักลงทุนในประเทศแห่ขายทองเพื่อทำกำไร ส่งผลให้เกิดความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ทำให้เงินบาทแข็งแรงขึ้นจากแรงเทขายทองโดยตรง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ชั่วคราวแต่มีผลกระทบในวงกว้าง

โดยมองว่าท่ามกลางเงินบาทที่แข็งค่า อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้ามาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะปัจจุบันที่เศรษฐกิจไทยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากส่งออกดังนั้นการแข็งค่าของเงินที่มีผลกระทบต่อผู้ส่งออก จากการ

สูญเสียความสามารถในการแข่งขันการขายของได้ยากขึ้น กำไรลดลง ในที่สุดอาจกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าได้

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าห่วงคือ เมื่อเงินบาทแข็งยังกระทบต่อภาคเกษตรไทยค่อนข้างมาก จากการที่เกษตรไทยพึ่งพารายได้จากส่งออกค่อนข้างมาก ทั้ง ข้าว ยาง ปาล์ม มันสำปะหลัง ดังนั้น เกษตรกรอาจมีรายได้ที่ลดลงต่อเนื่อง เหล่านี้จะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่เปราะบาง รายได้ภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว และกำลังซื้อยังซบเซาให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง

“แต่อย่างไรก็ตาม เรามองว่าแม้เงินบาทในระยะสั้นจะแข็งค่า แต่ก็มีโอกาสที่สถานการณ์อาจไม่ลากยาว หลังจากนี้อาจเห็นสถานการณ์ตีกลับ และบาทกลับมาอ่อนค่าได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินโลก”

“พิชัย”แย้มส่งออกเม.ย.ยังโตเด่น

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงค่าเงินบาทแข็งว่า ค่าเงินบาทแข็งยังส่งออกได้มากขนาดนี้ ซึ่งภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังไปได้ดี ตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกเติบโตถึง 3.1% การส่งออกขยายตัวถึง 15.2% ในไตรมาสแรก และเดือนมี.ค. ตัวเลขส่งออกพุ่งถึง 17.8% 

"ตัวเลขส่งออกเดือนเม.ย.ที่จะแถลงในวันที่ 26 พ.ค. นี้ ก็ยังดีมาก ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทย กระทรวงพาณิชย์ จะเดินหน้าเปิดเขตการค้าเสรี หรือ FTA กับอีกหลายประเทศ เช่น EU เกาหลีใต้ และแคนาดา เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย"

อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่แข็งค่าก็อยากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลค่าเงินบาทให้ ซึ่ง หวังว่าผู้ว่าฯคนใหม่จะบริหารค่าเงินบาทให้มีความเหมาะสม ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อนค่าถึง 32 บาทต่อดอลลาร์ถือว่าแข็งค่ามาก โดยเห็นว่าค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรเป็น 36-37 บาทต่อดอลลาร์

ตลาดเกิดใหม่วิ่งเข้า“ภาวะกระทิง”

ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America) นำโดยนักกลยุทธ์การลงทุน ไมเคิล ฮาร์ทเน็ต เปิดเผยว่าตลาดหุ้นใน “กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่” กำลังได้รับความสนใจอีกครั้ง เนื่องจากกระแส “ขายสินทรัพย์สหรัฐ” หรือ Sell America เริ่มมีแรงหนุนอีกครั้งหลังจากที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody's)ปรับลดระดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจากอันดับสูงสุดเมื่อเร็วๆ นี้

แบงก์ ออฟ อเมริกาเป็นแบงก์รายล่าสุดที่ระบุว่า ตลาดเกิดใหม่จะเป็น“ตลาดกระทิงรายถัดไป”หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ ธนาคารเจพีมอร์แกน (JPMorgan) ได้ส่งสัญญาณในทำนองเดียวกัน โดยปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของหุ้นในตลาดเกิดใหม่จาก neutral เป็น overweight โดยอ้างถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่คลี่คลายลง และแวลูเอชันที่น่าดึงดูด

“ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งสูงสุด เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว...ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่” ทีมงานของแบงก์ออฟอเมริการะบุในบันทึกถึงนักลงทุน

ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์สหรัฐที่ลดลงซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนที่แล้ว โดยมีแรงเทขายในพันธบัตรสหรัฐ หุ้น และเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ตลาดเกิดใหม่มีทิศทางขาขึ้น

ดัชนีMSCI Emerging Marketsซึ่งติดตามหุ้นขนาดใหญ่ และขนาดกลางใน 24 ประเทศตลาดเกิดใหม่ เพิ่มขึ้น 8.55% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับดัชนีS&P 500ของสหรัฐที่พุ่งขึ้น 1% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ความแตกต่างยิ่งชัดเจนมากขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ถัดมาหลังจากวันที่ 2 เมษายน ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศภาษีศุลกากรตอบโต้กับทั้งมิตร และศัตรู

แม้ว่าดัชนีอ้างอิงส่วนใหญ่มักจะร่วงลงถ้วนหน้าทั้งโลกในช่วงไม่กี่วันหลังวันที่ 2 เม.ย. แต่สัปดาห์ต่อมากลับแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างหุ้นในตลาดเกิดใหม่ และหุ้นสหรัฐระหว่างวันที่ 9- 21 เม.ย. ดัชนี S&P 500 ลดลงมากกว่า 5% ในขณะที่ดัชนี MSCI Emerging Markets เพิ่มขึ้น 7%

แม้ว่าตลาดหุ้น และพันธบัตรสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่นั้นมา แต่ปัจจัยเรื่องการปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐล่าสุดโดย Moody's ได้จุดชนวนความกังวลของนักลงทุนอีกครั้ง

เมื่อวันจันทร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 30 ปีได้พุ่งขึ้นเหนือ 5% จนแตะระดับสูงสุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 ขณะที่หุ้นสหรัฐก็หยุดการปิดบวกติดต่อกัน 6 วันทำการ ในวันอังคารเช่นกัน

จุดเริ่มการปรับน้ำหนักใหม่?

มัลคอล์ม ดอร์สัน หัวหน้าทีมการลงทุนเชิงรุกจาก Global X ETFs กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเปิดรับความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลายมากขึ้น

“หลังจากที่เคยทำผลงานต่ำกว่าดัชนี S&P ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตอนนี้หุ้น EM กำลังอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใคร และจะทำผลงานได้ดีกว่าในรอบถัดไป” ดอร์สัน กล่าว

“มหาพายุ Perfect storm ที่อาจเกิดขึ้นนี้ เกิดจากดอลลาร์ที่อาจอ่อนค่าลง นักลงทุนที่ถือสถานะกันต่ำมาก และแวลูเอชันที่ต่ำสวนทางกับการเติบโตที่ขยายตัวขึ้น”

ตามข้อมูลของดอร์สันในแง่ของสถานะซื้อขาย นักลงทุนในสหรัฐจำนวนมากถือหุ้นในตลาดเกิดใหม่เพียง 3 - 5% เมื่อเทียบกับ 10.5% ใน MSCI Global Index ซึ่งรวบรวมผลงานของบริษัทขนาดใหญ่ และขนาดกลางในตลาดพัฒนาแล้ว 23 แห่ง

ขณะที่สถิติของเจพีมอร์แกนแสดงให้เห็นว่า ตลาดเกิดใหม่ยังซื้อขายกันที่ P/E 12 เท่า และมีราคาถูกกว่าปกติเมื่อเทียบกับตลาดประเทศพัฒนาแล้ว