มูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐ (ตอนที่ 5) | เศรษฐศาสตร์+สุขภาพ

ผมขอเขียนต่ออีกสักตอนหนึ่งเกี่ยวกับค่าของเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งในตอนก่อนหน้านั้นเล่ามาถึงตอนที่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ซึ่งออกแบบโดยการประชุมที่ Bretton Woods (สหรัฐอเมริกา)
ได้ล่มสลายลงไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2514 เมื่อประธานาธิบดีนิกสันประกาศยกเลิกพันธะที่ได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินเหรียญสหรัฐกับทองคำตายตัวเอาไว้ที่ 35 เหรียญต่อออนซ์
จากนั้นเป็นต้นมา อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่างๆ ก็ไม่ได้มีการยึดโยงกันเหมือนก่อน แต่ปรับเปลี่ยนไปตามปัจจัยทางเศรษฐกิจและทางจิตวิทยาต่างๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ที่น่าสนใจคือ เงินเหรียญสหรัฐ ก็ยังรักษาสถานะในการเป็นเงินสกุลหลักของโลกอยู่ได้
กล่าวคือ ก็ยังเป็นเงินสกุลที่ธนาคารกลางต่างๆ ถือเอาไว้เป็นเงินทุนสำรองหลักของประเทศนั้นๆ การค้า-ขายและการลงทุนระหว่างประเทศ ก็ยังนิยมการใช้เงินเหรียญสหรัฐเป็นเงินสกุลหลักในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยที่เงินสกุลอื่นๆ ยังไม่สามารถมาทดแทนได้
แม้จะได้เคยมีการคาดการณ์ว่า ต่อไปจะมีทางเลือกอื่นๆ เช่น เงินยูโร เงินเยน หรือเงินหยวน แต่ในที่สุดเงินสกุลดังกล่าวก็ยังไม่สามารถเป็นคู่แข่งกับเงินเหรียญสหรัฐได้
สำหรับเงินคริปโตนั้น ก็ยังไม่ใช่ทางเลือกเช่นกัน เพราะต้นทุนในการทำธุรกรรมที่สูงและมีความเสี่ยงที่จะยังไม่มีกฎเกณฑ์สากลที่จะควบคุมการใช้เงินดังกล่าวไม่ให้เป็นการนำไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือฟอกเงินได้
การที่เงินเหรียญสหรัฐยังเป็นเงินสกุลหลักของโลกนั้น ผมได้เคยกล่าวถึงในตอนที่แล้วว่าเป็นเรื่องที่กระทรวงการคลังของสหรัฐเป็นผู้ผลักดัน เพราะทำให้สหรัฐได้เปรียบประเทศอื่นๆ อย่างมาก ที่ได้มาเป็นผู้ผูกขาดในการพิมพ์เงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเพื่อการค้า-ขายและลงทุนระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกปี
การที่สหรัฐสามารถพิมพ์กระดาษออกมาใช้เป็นเงินที่นำไปซื้อสินค้า และบริการได้เกินกว่าที่เศรษฐกิจสหรัฐผลิตออกมานั้น แปลได้ว่าสหรัฐมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าทุกประเทศอื่นในโลก
อภิสิทธิ์นี้ ทำให้สหรัฐกลายเป็นผู้ที่กำหนดอัตราเงินเฟ้อของโลกอีกด้วย และในอดีตก็ต้องบอกว่า โดยรวมแล้วสหรัฐก็ไม่ได้มีวินัยทางการคลังมากนัก ตัวอย่างเช่น เมื่อปี 2514 ก่อนเดือนสิงหาคม ราคาทองคำจะประมาณ 35 เหรียญต่อ 1 ออนซ์ แต่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ราคาทองคำขึ้นไปที่ 3,360 เหรียญ คือเพิ่มขึ้นประมาณ 96 เท่าตัว
หรือมองอีกด้านหนึ่งคือ ในช่วง 54 ปีที่ผ่านมา เงินเดือนสหรัฐเสื่อมค่าลงเทียบกับทองคำประมาณ 8.8% ต่อปี (ขอย้ำว่าผมไม่ได้ชี้ชวนหรือแนะนำให้ไปลงทุนในทองคำนะครับ เพราะมีปัจจัยในอนาคตมากมายที่จะไม่ทำให้แนวโน้มในอนาคต จะแตกต่างจากแนวโน้มในอดีต)
นโยบายของรัฐบาลสหรัฐนั้นจะยืนยันอย่างแข็งขันว่า ต้องการให้ดอลลาร์แข็งแรง (strong dollar) เพราะหากเสียงส่วนใหญ่มองว่าเงินสหรัฐมีแต่จะเสื่อมค่าลง ก็ย่อมทำให้คนทิ้งเงินดอลลาร์ แต่ดังที่กล่าวข้างต้นปัจจุบัน คงจะมีหลายคนที่อยากมีทางเลือกอื่นที่ทำให้ไม่ต้องใช้เงินดอลลาร์ แต่ยังหาทางเลือกอื่นไม่ได้
อย่างไรก็ดีขอตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายต่างๆของรัฐบาลสหรัฐ โดยเฉพาะนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยที่ 2 นั้น กำลังจะทำให้ประเทศต่างๆ ต้องการแสวงหาทางเลือกอื่นๆ ที่จะทดแทนเงินดอลลาร์อย่างเร่งรีบมากขึ้น ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้
1. การเพิ่มมาตรการกีดกันการค้าและปิดตลาดสหรัฐอย่างรุนแรงและฉับพลัน นโยบายโดดเดี่ยวเศรษฐกิจของสหรัฐ จะทำให้ประเทศคู่ค้าต้องถามตัวเองว่า ทำไมจึงจะต้องใช้เงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลัก หากตลาดสหรัฐมีแต่จะหดตัวลงไปเรื่อย ๆ เพราะกำแพงภาษีที่สูงมากและสหรัฐต้องการปิดตัวเองจากระบบการค้าของโลก
2. สหรัฐใช้มาตรการกีดกันการเข้าถึงระบบการทำธุรกรรมโดยใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธในการลงโทษประเทศที่เป็นฝ่ายตรงข้าม เช่น อิหร่านและเกาหลีเหนือ การใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธย่อมทำให้หลายประเทศไม่ต้องการให้ประเทศของตนต้องพึ่งพาเงินเหรียญสหรัฐเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว
3. รัฐบาลสหรัฐขาดดุลงบประมาณมากและมีหนี้สินสูง มีพันธบัตรรัฐบาลอยู่ในตลาดมากกว่า 100% ของจีดีพี แปลว่า มีความเสี่ยงที่เงินเหรียญสหรัฐจะเสื่อมค่าลงอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังมีท่าทีข่มขู่ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐให้ลดดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่เงินเฟ้อรัฐอย่างสูงกว่าเป้า ย่อมบั่นทอนความเชื่อมั่นในวินัยของนโยบายการเงินของสหรัฐเพิ่มขึ้นไปอีก
ดังนั้น ในหนังสือเล่มล่าสุดของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำคนหนึ่ง ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเงินระหว่างประเทศคือ Ken Rogoff ชื่อ “Our Dollar, Your Problem”
มีข้อสรุปว่า ความยิ่งใหญ่ของเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น ถึงจุดสูงสุดไปแล้วในปี 2558 และได้เสื่อมถอยลงไปทีละน้อยตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา และไม่มีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งจะมาเป็นหลักประกันว่าเงินเหรียญสหรัฐจะเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไปได้ในอนาคต
ตรงกันข้ามนโยบายและปัญหาทางเศรษฐกิจของสหรัฐ กำลังคุกคามความน่าเชื่อถือของเงินเหรียญสหรัฐ ดังที่กล่าวข้างต้น แต่ปัจจุบันสหรัฐ “โชคดี” ที่ยังไม่มีเงินสกุลใดสามารถมาทดแทนเงินเหรียญสหรัฐได้ครับ







