‘เศรษฐพุฒิ’ชี้เทรดวอร์ ฉุดศก.ไทย ฉาย4ภาพผลกระทบ ’ภาษีทรัมป์‘

‘เศรษฐพุฒิ’ชี้เทรดวอร์ ฉุดศก.ไทย ฉาย4ภาพผลกระทบ ’ภาษีทรัมป์‘

“เศรษฐพุฒิ” ผู้ว่า ธปท.ฉายภาพ “เศรษฐกิจไทย” ชะลอลงก่อนซึมลากยาว รับพิษ “ภาษีทรัมป์”แต่ไม่ต่ำสุดกว่าที่เคยต่ำเท่าช่วง “วิกฤติ“ในอดีต เปิด 4 ระยะไทยต้องเผชิญ

KEY

POINTS

  • 'เศรษฐพุฒิ' ผู้ว่าแบงก์ชาติ เปิดผลกระทบจากสงครามการค้า ชี้กระทบระยะยาว ไม่จบเร็ว และอาจทำให้ “โลกเปลี่ยนไป”
  •  ไทยหนีไม่พ้นเศรษฐกิจชะลอตัว ต้องตั้งรับและปรับตัว
  • ไตรมาส 4 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยกระทบหนักตกต่ำสุด
  • เปิด 4 ช่วงของผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
  • ชี้การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยจะเป็นแบบ “V ขากว้าง” ไม่ใช่รูปแบบ U หรือ L
  • นโยบายเศรษฐกิจไทยต้องเปลี่ยน ไม่ใช่แค่กระตุ้นให้เร็วขึ้น แต่ต้องรับมือ “ช็อก” ให้ดี
  • ต้องปรับตัวเพื่อเติบโตระยะยาว ไม่ควรใช้มาตรการ “ปูพรหม” เพราะผลกระทบต่างกันในแต่ละกลุ่ม ต้องมีมาตรการป้องกันและช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม
  • ย้ำประเทศไทยเวลานี้ ต้องเน้นการรักษาเสถียรภาพการเงิน-การคลัง 
  • ห่วง เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เสี่ยงทำให้ภาพลักษณ์ประเทศ “เทา” ขึ้นควรเน้น Wellness สำหรับผู้สูงวัยมากกว่า

 

‘เศรษฐพุฒิ’ชี้เทรดวอร์ ฉุดศก.ไทย ฉาย4ภาพผลกระทบ ’ภาษีทรัมป์‘ วันที่ 9 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบสื่อมวลชนในงาน Meet the Press ครั้งแรกของปี 2568 ท่ามกลางกระแส “สงครามการค้า” ที่กระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และเศรษฐกิจไทย

โดย “เศรษฐพุฒิ” ฉายภาพให้เห็นถึง ผลกระทบสงครามการค้าครั้งนี้ จะเป็น “ช็อก” (Shock) ที่จะอยู่กับประเทศไทยยาวนาน คงไม่จบในเร็ววัน และช็อกครั้งนี้อาจทำให้ “โลกเปลี่ยนไป” ดังนั้น โจทย์ที่ประเทศไทยต้องเจอคือ หนีไม่พ้น “การชะลอตัว” ของเศรษฐกิจ ดังนั้น ไทยต้องตั้งรับเตรียมพร้อมให้ดี

เริ่มต้น “เศรษฐพุฒิ” ฉายภาพ ให้เห็นถึงผลกระทบจากมาตรการสงครามการค้า “การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ” ซึ่งมองว่าเป็นประเด็นที่สร้างความไม่แน่นอนสูงมาก และมีหลายด้านที่ยังไม่ชัดเจน สะท้อนฉากทัศน์ของ “คณะกรรมการนโยบายการเงิน” (กนง.) ล่าสุด ที่ประเมินฉากทัศน์เป็น 2 ซินาริโอ (Scenario) สะท้อนให้เห็นความไม่แน่นอนสูง

ดังนั้น หากมองไปข้างหน้า “พายุมาแน่” ผลของพายุที่จะมาถึงอาจยังไม่เห็นครบทุกมิติ ผลกระทบจากสงครามการค้าจากการขึ้นภาษีนำเข้า ผลกระทบยังไม่เห็น เพราะขึ้นกับการเจรจาระยะข้างหน้า

แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว คือ ผลกระทบจากการชะลอลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจน ทำให้การลงทุนต่างๆ ชะงักออกไป

นอกจากนี้ ยังเป็นผลกระทบด้านการเร่งนำเข้า ป้องกันผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าผ่านการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

“พายุที่เข้ามาคงไม่เห็นเร็ว เพราะต้องมีการเจรจา และคาดจะเริ่มเห็นผลกระทบตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้ และผลกระทบชัดเจนไตรมาส 4 ปีนี้ ดังนั้น สิ่งที่อยากฉายให้เห็นคือ ผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ ใช้เวลานานไม่จบเร็ว และคงไม่จบใน 90 วัน เพราะมีจำนวนประเทศที่ต้องเจรจากับสหรัฐค่อนข้างมาก ดังนั้น การเจรจาให้จบเร็วคงไม่ง่าย”

ช็อกครั้งนี้ไม่หนักเท่าวิกฤติที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม มองว่า แม้พายุครั้งนี้จะหนัก ความไม่แน่นอนมีค่อนข้างมาก และสร้างผลกระทบระยะยาวอย่างมหาศาล แต่หากเทียบกับช็อกที่เจอในอดีต มองว่าคงไม่ได้หนักกว่าวิกฤติที่ผ่านมา ทั้ง “วิกฤติโควิด-19” และ “วิกฤติการเงินโลกปี 2008” เพราะหากเทียบเฉพาะการส่งออก คิดเป็น 2.2% ของจีดีพี แม้เป็นตัวเลขไม่น้อย แต่หากเทียบกับช็อกตอนวิกฤติการเงิน หรือโควิด-19 ผลต่อเศรษฐกิจมีสูงกว่านี้มาก

สิ่งที่ต้องกังวลคือ สุดท้ายแล้วยังมีเรื่องของผลระยะยาว หลังพายุผ่านไปที่มองว่าจะทำให้โลกหลังจากนี้เปลี่ยนไปแน่นอน ดังนั้น ไทยต้องปรับตัวเพื่ออยู่อย่างสง่างามหลังพายุลูกนี้

สงครามการค้ากระทบไทย 4 ช่วง

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบของ “สงครามการค้า” ครั้งนี้ ทำให้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับ 4 ช่วง หรือเฟสสำคัญ

“เฟสแรก” คือ ช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญผลกระทบ 

“เฟสที่สอง” ช่วงที่เศรษฐกิจไทยเผชิญผลกระทบรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจไทยตกต่ำที่สุด โดยคาดจะเห็นได้ในไตรมาส 4 ปีนี้ และ

“เฟสที่สาม” คือ ช่วงของการฟื้นตัว และ

“เฟสสุดท้าย” คือ หลังพายุผ่านพ้นไปที่ไทยต้องปรับตัว หากยังอยู่แบบเดิม โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำแบบเดิมมีค่อนข้างสูง แต่โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตกว่าเดิมก็มีจากการหันไปค้าขายกับประเทศอื่นๆ มากขึ้น 

หากประเมินผลกระทบสงครามการค้าครั้งนี้ บนความไม่แน่นอนสูง รอบนี้ไม่ใช่ตัว U และไม่ใช่ตัว L แต่การฟื้นตัวหลังจากนี้จะเหมือนตัว “วีขากว้าง” เมื่อเศรษฐกิจโดนช็อก เศรษฐกิจจะลดลงมาก ดังนั้น มี 2-3 ช่วง ที่ต้องใส่ใจอย่างมาก”

โจทย์เศรษฐกิจไทยต้องไม่เหมือนเดิม

“เศรษฐพุฒิ” ยังเปรียบเทียบให้เห็นว่า หากสะท้อนภาพของช็อกที่เจอขณะนี้ ก็เหมือนพายุที่กำลังมา การแล่นเรือในสปีดเดิมคงไม่ได้ ดังนั้น โจทย์เศรษฐกิจไทยต้องไม่ใช่เรื่องการกระตุ้น เพื่อให้สปีดของเรือวิ่งเร็วแบบเดิม

เพราะช็อกขณะนี้หนีไม่พ้นการชะลอตัว ดังนั้น โจทย์สำคัญคือ การรับมือผลกระทบต่างๆ ให้ช็อกที่เจอทำให้เราเบาลง และโดนผลกระทบไม่มากนัก และต้องเอื้อในการปรับตัวให้เร็วขึ้น เอื้อให้เกิดการเติบโตระยะยาวหลังพายุผ่านไป เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตในระดับที่ดีกว่าเดิม ดังนั้น โจทย์หรือนโยบายไม่ควรปูพรม เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นค่อนข้างมีผลกระทบต่างกันมากในแต่ละเซกเตอร์ 

กลุ่มที่เป็นห่วงเป็นพิเศษ ตัวที่ชัดเจนคือ ผลกระทบจากสินค้าทะลักเข้าไทย เช่น เครื่องนุ่งห่ม กลุ่มนี้มีผลต่อจีดีพี 0.8% มีเอสเอ็มอี 1.2 แสนรายเกี่ยวข้อง ลักษณะธุรกิจเปราะบางสูง มีการจ้างงานสูงถึง 4 แสนคน

ดังนั้น การทำมาตรการต้องบรรเทาผลกระทบจากสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทย และมาตรการเชิงป้องกัน การดูแลสินค้าที่เข้ามาต้องให้มีคุณภาพมากขึ้น ทำมาตรการที่สามารถบรรเทาผลกระทบจากสินค้าทะลักเข้ามาเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีต่างๆ

ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เพียงพอรับผลกระทบ

ส่วนนโยบายการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งที่ ธปท. ทำมาโดยตลอด ทั้งดูแลนโยบายการเงินควบคู่ไปกับนโยบายอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องการ “ลดดอกเบี้ย” ล่าสุด ลดดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นการลดดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกัน สะท้อนการมองไปข้างหน้าจากการเติบโตและเงินเฟ้อที่ลดลง

ดังนั้น การลดดอกเบี้ยก็เพื่อให้นโยบายการเงินมีส่วนเอื้อ ช่วยรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยระยะข้างหน้า เป็นส่วนหนึ่งการนำมาพิจารณาตัดสินใจลดดอกเบี้ย แต่ภายใต้กระสุนหรือ Policy space ที่มีจำกัดต้องใช้อย่างระมัดระวังในระยะข้างหน้า

หากถามโอกาสที่จะเห็นกนง. ลดดอกเบี้ยไปต่ำสุดเท่ากับโควิด-19 ที่ 0.50% หรือไม่นั้น ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า ตอนนี้มีความไม่แน่นอนสูงมาก แต่หากบอกว่าเราไม่ยอมลดดอกเบี้ยคงไม่ได้ ก็ต้องลด

แต่สิ่งที่คณะกรรมการกนง. เป็นห่วงช่วงประชุมที่ผ่านมา คือ การมี Policy space ที่มีอย่างจำกัด กระสุนที่เหลือต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และคำนึงว่าพื้นที่ที่จะลงอาจไม่ได้มีมากขนาดนั้น และที่ต้องสังเกตประสิทธิภาพการลดดอกเบี้ยมีการส่งต่อไปที่เศรษฐกิจจริง จะค่อยๆ ลดลง ตอนดอกเบี้ยต่ำลงการส่งผ่านต่างๆ เริ่มลดลง

ในด้านที่เห็นคือ ตลาดเงินผันผวนค่อนข้างมาก ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น การดูแลเสถียรภาพการเงินเป็นสิ่งที่ธปท.ดูแลต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่ามีความผันผวนสูง 

ด้านค่าเงินบาทแข็งค่า มาจากเงินดอลลาร์อ่อนค่า เพราะความเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ของดอลลาร์ลดลง ทำให้คนวิ่งหาสินทรัพย์ใหม่คือ “ทองคำ” ทำให้ราคาสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งค่าเงินบาทเชื่อมโยงกับทองคำค่อนข้างมากประมาณ 60% รองลงมาเกาหลี 40% เพราะคนไทยชอบซื้อขายทองคำ จึงซ้ำเติมค่าเงินบาทแข็งค่า

ดังนั้น การบริหารจัดการ คือ ใช้มาตรการต่างๆ เช่น นโยบายการเงิน เพราะค่าเงินตัวที่กระทบ คือ “ดอกเบี้ย” และสิ่งที่ธปท. ทำคือเข้าไปดูแลค่าเงินแต่ไม่ได้กำหนดเป็นระดับ และไม่ฝืนกลไกตลาด ทำให้การเคลื่อนไหวไม่สูง หรือผันผวนเร็วเกินไป โดยเฉพาะความผันผวนไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐาน

การรักษาเสถียรภาพเป็นเรื่องสำคัญ

โดยสุรปแล้ว มองว่า ภาพขณะนี้ดูหนัก ดูมัวหมอง หนีไม่พ้นพายุต่างๆ ที่กำลังมา และอาจจะดูส่วนหนึ่งที่ทำให้ครั้งนี้หนัก และลำบากเป็นพิเศษ เพราะเราเจอปัญหาสะสมหลายเรื่อง เจอปัญหามานานตั้งแต่โควิด เจอเรื่องค่าครองชีพต่างๆ ดังนั้น เราจึงโดนหลายด้านจากสารพัดด้าน จากเดิมที่มีปัญหาอยู่แล้ว ทั้งหนี้ครัวเรือนสูง ธุรกิจเอสเอ็มอีอ่อนแอ สินค้าทะลักเข้ามายิ่งหนักไปใหญ่ บริษัทขนาดใหญ่ที่แข็งแรง แต่จากช็อกนี้ก็ถูกกระทบไปด้วย ดังนั้น เราเจอถาโถมหลายจุด แต่ก็น้อยกว่าวิกฤติในอดีต”

ทั้งนี้ หากถามว่า สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ การรักษาเสถียรภาพ เป็นเรื่องสำคัญ ภายใต้พายุที่กำลังมา ดังนั้นหากเราถูกปรับลดเครดิตหรือดาวน์เกรดลงก็มีผลไม่น้อย เพราะมีผลต่อต้นทุนกู้ยืมของภาครัฐและเอกชน จะเพิ่มสูงขึ้นทันที  

การตัดสินใจด้านต่างๆ ต้องใส่ใจ โดยเฉพาะเสถียรภาพการเงินการคลัง โดยเฉพาะกระสุนที่มีจำกัดทั้งฝั่งการเงินและการคลัง ยิ่งสะท้อนว่ายิ่งต้องใช้อย่างถูกต้องใช้อย่างเต็มที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย และผลการใช้กระสุนเต็มที่ มาตรการบางอย่างอาจไม่ค่อยเหมาะสมกับสภาวะที่เราเจออยู่

ตัวอย่างเช่น ไปเน้นการบริโภคในเวลานี้ มาตรการนี้อาจไม่ตอบโจทย์ ในช่วงที่มีความกังวลจากสินค้าจีนทะลักเข้าไทย และยิ่งไปกระตุ้นอาจทำให้สินค้าเพื่อนบ้านทะลักเข้าไทยแทนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทย ดังนั้น บริบทตอนนี้ต้องคิดให้ดีว่าภายใต้ทรัพยากรด้านการเงินการคลังมีอย่างจำกัด ทำอย่างไรที่ต้องใช้ให้คุ้มค่า

เอนเทอร์เทนเมนต์ฯทำประเทศ “เทา” 

“เศรษฐพุฒิ” ยังตอบถึงประเด็น “เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ว่า วันนี้มีหลายมิติ โจทย์ที่ใหญ่ตรงนี้ คือ ทำให้ Potential Growth ศักยภาพประเทศเพิ่มขึ้นยั่งยืน ดังนั้น โจทย์ค่อนข้างชัด ไม่ใช่แค่เรื่องการดึงคนจำนวนมากเพียงอย่างเดียว วันนี้นักท่องเที่ยวมีทางเลือกมากขึ้น ทำอย่างไรที่ประเทศจะสร้าง Value Added เพิ่มขึ้น

โจทย์ที่ประเทศไทยต้องเจอ คือ สังคมสูงวัย ไม่เฉพาะไทยแต่เป็นทั่วโลก ดังนั้น การพยายามสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ต่างๆ เพื่อแปลว่าเป็น Wellness Center ได้น่าจะเป็นประโยชน์

ในส่วน “เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” การตอบโจทย์ตรงนี้อาจไม่ชัด โจทย์ในสิ่งที่ประเทศไทยจะได้ แต่สิ่งที่ธปท.กังวล คือ ตอนนี้ที่โลกไม่ชัดเจน ความไม่แน่นอนสูง สิ่งที่เคยมีเหมือนอดีตเริ่มหมดไป บนบริบทนี้ สิ่งที่ยิ่งสำคัญคือ เราต้องทำตัวให้ “ถูกต้อง ขาวสะอาด” เท่าที่ได้ ตามกฎตามระเบียบ เป็นสิ่งที่คนกำลังหาตรงนี้ 

ยิ่งประเทศไทยกำลังถูกปรับแนวโน้มจาก Stable เป็น Negative ในรายงานพูดเรื่อง Governance ด้านธรรมาภิบาล ความน่าเชื่อถือต่างๆ ดังนั้น การทำสิ่งที่ถูกต้อง ตามกฎระเบียบยิ่งชัดว่าด้านเสถียรภาพมีความหมายมากขึ้น

ดังนั้น ด้านชื่อเสียงสำคัญมาก และมีความเสี่ยงหาก “กาสิโน” ทำให้ภาพของความ “เทา” มากขึ้น ยิ่งมีความเสี่ยง

โจทย์นี้ไม่เถียงว่า อาจเพิ่ม Value added ได้ แต่หากให้ผมเลือกระหว่างทำ เอนเทอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ กับ Wellness เพื่อดูแลผู้สูงอายุ อันที่สองประโยชน์ชัด Value added เยอะผลข้างเคียงก็มีน้อยกว่า”

ส่วน กรณี “แจกเงิน10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเลต” ต้องขอบคุณภาครัฐที่ทบทวนความเหมาะสมเรื่องนี้ เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนบวกกับสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทย การทำนโยบายต่างๆ ต้องเน้นความคุ้มค่า และมีประสิทธิผลที่ดี ภายใต้ขีดความสามารถการเงินและการคลังมีอย่างจำกัดมากขึ้น

เงินเฟ้อติดลบแต่ยังไม่ใช่เงินฝืด

สำหรับ เงินเฟ้อปัจจุบันที่ติดลบ 0.2% แม้หลายคนกังวล และเป็นห่วงว่าจะเกิดภาวะเงินฝืดหรือไม่ ขอตอบว่าขณะนี้ยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด และยังไม่เห็นสัญญาณภาวะเงินฝืด

สาเหตุที่เงินเฟ้อลด มาจากราคาพลังงานเป็นหลักมาจากอุปสงค์ที่ไม่ได้เติบโต แตกกับภาวะเงินฝืด ที่มาจากสินค้าในตะกร้าเงินเฟ้อปรับลดลงเป็นวงกว้าง การคาดการณ์เงินเฟ้อเริ่มลดลงแต่วันนี้เงินเฟ้อยังไม่หลุดกรอบเป้าหมาย และคนเริ่มชะลอใช้จ่าย บริโภคน้อยลง แต่ปัจจุบันคนยังสามารถบริโภคได้ การบริโภคไม่ติดลบ ดังนั้น วงจรอุบาทว์ตรงนี้ยังไม่เห็น เงินฝืดจึงยังไม่ใช่ข้อที่ธปท.กังวล