จีนพลิกเกมส์ในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ บทเรียนจาก Plaza Accord และความท้าทายของไทย

จีนพลิกเกมส์ในสงครามการค้ากับสหรัฐฯ บทเรียนจาก Plaza Accord และความท้าทายของไทย

การเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วมหาอำนาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเห็นแล้วว่าส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจในวงกว้างอยู่พอสมควร จีนในสงครามการค้าครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการยกระดับอำนาจการต่อรองของจีน แต่ยังมองเป็นโอกาสที่ประเทศขนาดกลางและเล็กจะเลือกใช้กลยุทธ์ที่ระมัดระวังและยืดหยุ่น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน

สงครามการค้ารอบ TRUMP 2.0 สะท้อนท่าทีที่แข็งกร้าวของจีนในการตอบสนองต่อสหรัฐฯ ต่างจากเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ท่าทีนี้สะท้อนถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเทคโนโลยีของจีน ที่ทำให้ไม่ยอมให้สหรัฐฯ กดดันได้ง่ายเหมือนในอดีต หากจีนพ่ายแพ้ในสงครามการค้าครั้งนี้ ผลกระทบไม่เพียงแค่การสูญเสียทางการค้า แต่ยังอาจทำให้จีนประสบปัญหาคล้ายคลึงกับญี่ปุ่นหลัง Plaza Accord ที่ญี่ปุ่นต้องทนกับวิกฤติเศรษฐกิจที่ยาวนานจนไม่สามารถฟื้นตัวได้ในหลายทศวรรษ

Plaza Accord: จุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจญี่ปุ่น (Lost Two Decades)

ก่อนปี 1985 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จนทำให้สหรัฐฯขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นอย่างมาก ต่อมาสหรัฐฯร่วมกับยุโรปกดดันญี่ปุ่นในการประชุมที่ Plaza Hotel เพื่อบรรลุข้อตกลง Plaza Accord ซึ่งกดดันให้ญี่ปุ่นทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่า ผลจากการแข็งค่าของเยนในปี 1986 ทำให้สินค้า ญี่ปุ่นแพงขึ้น การส่งออกลดลง และธนาคารกลางญี่ปุ่นต้องลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนเกิดฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้น ซึ่งแตกในปี 1990 ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยยาวนานกลายเป็น “Lost Two Decades”

จีนไม่ยอมถอย : ยกอำนาจการต่อรองกับสหรัฐฯ 

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน สะท้อนถึงการเผชิญหน้าคล้ายญี่ปุ่นในอดีตที่สหรัฐฯขาดดุลการค้าสูงและต่อเนื่อง แต่จีนมีท่าทีตอบสนองที่แตกต่าง ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา (2018–2024) จีนได้ปรับเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้สหรัฐฯไม่สามารถกดดันจีนได้เหมือนในอดีต โดยได้ยกระดับอำนาจการต่อรองกับสหรัฐฯเสริมสร้างอิทธิพลของตนในเวทีโลก ผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในหลายด้าน 

· จีนพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี (Self-reliance in Technology) จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐาน เช่น ชิปเซ็ต, AI, Cloud และ Quantum Computing เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการสร้าง Ecosystem ภายในประเทศ โดยเฉพาะผ่านโครงการ Made in China 2025 และการพัฒนาชิปคุณภาพสูงภายในประเทศ เป็นต้น

· จีนคือ Supply Chain หลักของโลก จีนยังคงเป็นฐานการผลิตสำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Rare Earth, EV Batteries และ Electronic Components รวมถึงการพัฒนา AI และพลังงานสะอาด และกลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของกว่า 120 ประเทศทั่วโลก

· การขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ (Geo-Economic Influence) จีนขยายอิทธิพลผ่าน Belt and Road Initiative (BRI) โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานสร้างพันธมิตรในเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา พร้อมเพิ่มการถือครองหนี้ของหลายประเทศ (Debt Diplomacy) ซึ่งทำให้จีนสามารถเพิ่มอำนาจการต่อรอง

· การพัฒนาเงินหยวนและการลดการพึ่งพา USD (De-dollarization) จีนผลักดันการใช้เงินหยวน (CNY) ในการค้ากับประเทศคู่ค้าหลัก และเปิดตัว Digital Yuan (e-CNY) เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาระบบการเงินที่นำโดยสหรัฐฯ

การเจรจาทางการค้าที่อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าระหว่างประเทศ

มองว่าหากสหรัฐฯและจีนสามารถเจรจาต่อรองได้ ผลลัพธ์อาจนำไปสู่การสร้างสมดุลในระบบการค้าผ่านการลดภาษี การเปิดตลาด และการบรรเทามาตรการกีดกันทางเทคโนโลยี ซึ่งจะลดความตึงเครียดและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ทั้งสองประเทศ การเจรจาที่สำเร็จอาจส่งเสริมความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและพลังงานมากขึ้น

อย่างไรก็ดีในทางตรงกันข้าม หากการเจรจาล้มเหลวและมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้น อาจนำไปสู่การเพิ่มภาษีและมาตรการกีดกันการค้า ส่งผลให้การค้าและการลงทุนลดลงและเกิดการแยกตัวทางเทคโนโลยี (Tech Decoupling) ซึ่งจะสร้าง “Bipolar System” ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการผลิตในหลายอุตสาหกรรม

ความท้าทายของไทย รวมไปถึงประเทศขนาดกลางและเล็ก

ประเทศที่ไม่ใช่มหาอำนาจ อาจต้องเลือกใช้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและระมัดระวังในการรักษาผลประโยชน์ของตน ในขณะที่ต้องเผชิญกับความตึงเครียดระหว่างสองขั้วมหาอำนาจ

· ยุทธศาสตร์ "Balance of Power": ประเทศขนาดกลางและเล็ก รวมถึงไทยควรใช้ยุทธศาสตร์ “Balance of Power” คือการไม่เลือกข้างอย่างชัดเจน แต่จะใช้จุดแข็งของทั้งสองฝ่ายในการต่อรองและรักษาผลประโยชน์ตน

· การสร้างพันธมิตรทางภูมิภาคมากขึ้น: การร่วมมือในกรอบ ASEAN Economic Community (AEC), RCEP, CPTPP จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอำนาจในการต่อรองของกลุ่มประเทศขนาดกลางและเล็ก

· การเสริมสร้างเศรษฐกิจภายใน: การพัฒนาเศรษฐกิจภายใน เสริมจุดแข็ง และสร้างนวัตกรรมในประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีพื้นฐาน การเพิ่มทักษะแรงงาน และการกระจายห่วงโซ่อุปทาน จะช่วยให้ประเทศขนาดกลางและเล็กไม่พึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป

การเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วมหาอำนาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเห็นแล้วว่าส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจในวงกว้างอยู่พอสมควร จีนในสงครามการค้าครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการยกระดับอำนาจการต่อรองของจีน แต่ยังมองเป็นโอกาสที่ประเทศขนาดกลางและเล็กจะเลือกใช้กลยุทธ์ที่ระมัดระวังและยืดหยุ่น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน การเลือกพันธมิตรและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจภายใน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศเผชิญกับความท้าทายจากสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วในปัจจุบัน