ทรัมป์ปิดดีลแรกกับอังกฤษได้แล้ว ประเทศอื่นๆจะถอดบทเรียนอย่างไร?

ความสำคัญของตลาดสหรัฐซึ่งการส่งออกของไทยพึ่งพาอาศัยมากเป็นอันดับหนึ่งนั้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผู้นำภาคเอกชนและสถาบันวิจัยต่างๆแสดงความเป็นห่วงที่จะทำให้จีดีพีร่วง และสะเทือนต่อแนวโน้มของเครดิตของประเทศ ซึ่งจะนำมาสู่ปัญหาหลายด้านพร้อมกันโดยเฉพาะต้นทุนในการกู้ยืมจากต่างประเทศ
ทำเนียบขาวแถลงด่วนในวันพฤหัสที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 2025 “อเมริกากับอังกฤษตกลงกันได้แล้วเป็นดีลแรกเรื่องภาษีศุลกากรและจะตามมาโดยอีกหลายดีล”
ตลาดหุ้นอเมริกาขยับขึ้นเป็นสีเขียวตอบรับ ทีมทรัมป์อ้างว่ากลุ่มที่จ่อรออยู่คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และอินเดีย แต่คู่ค้าใหญ่สุดคือจีนนั้นได้มีการเตรียมเจรจาแล้วที่สวิตเซอร์แลนด์ช่วง 10-11 พฤษภาคมนี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากการแถลงข่าวเรื่องอังกฤษกลับนำมาสู่ความผิดหวัง เนื่องจาก “เป็นเพียงข้อเสนอโดยสังเขปแต่ขาดรายละเอียดและยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ” แถมทำเนียบขาวยังแจ้งว่าต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการทำงานระดับเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งหมายถึงการเจรจานั้นยังไม่สิ้นสุดและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
ทรัมป์ย้ำว่าข้อตกลงกับอังกฤษทำให้บริษัทอเมริกันเปิดตลาดเพิ่มขึ้นเพื่อขายเนื้อวัว ethanol สินค้าเกษตร สารเคมี เครื่องจักรยนต์ และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งโอกาสใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ $5B
ผู้นำอังกฤษประกาศว่าข้อตกลงนี้จะช่วยหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะรถยนต์ที่ส่งออกจากอังกฤษเข้าตลาดสหรัฐฯ
เรื่องที่ยังสร้างความกังวลให้ทุกประเทศที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด คือ สินค้าส่วนใหญ่จากอังกฤษเข้าสหรัฐยังต้องจ่ายภาษีศุลกากรอัตรา 10%
(ส่วนภาษี 25% ที่เรียกเก็บจากเหล็กและอะลูมิเนียมนั้นถูกยกเลิก รถยนต์นำเข้าจากอังกฤษลดภาษีลงจาก 27.5% เหลือ 10% แต่จำกัดเพียงแค่ 100,000 คันแรก ซึ่งเรื่องไม่ใช่เป็นข่าวดีของอังกฤษเลยเนื่องจากในอดีตนั้นจ่ายภาษีเพียงแค่ประมาณ 1% เท่านั้น)
ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่การรีบแถลงข่าวดีของผู้นำทั้งสองประเทศเพื่อหวังผลประโยชน์กับฐานเสียงของตนเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้วจะต้องรอไปอีกหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นอะไรเป็นรูปธรรม
ปริมาณการค้าระหว่างสองประเทศนี้เป็นเพียงแค่ 3% ของสหรัฐฯ ซึ่งแทบจะไม่มีผลกระทบอะไรเลย
(ในปี 2024 ปริมาณการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรมีมูลค่ารวมประมาณ 148,000 ล้านดอลลาร์ การส่งออกสินค้าของสหรัฐฯ ไปยังสหราชอาณาจักรมีมูลค่า 79,900 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่การนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากสหราชอาณาจักรมีมูลค่า 68,100 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้สหรัฐฯ มีดุลการค้าเกินดุล 11,860 ล้านดอลลาร์)
เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าคิดว่า “แม้อเมริกาได้เปรียบดุลการค้าต่ออังกฤษยังใช้มาตรการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในระดับนี้ แล้วประเทศอื่นๆที่อเมริกาเสียเปรียบการค้านั้นจะเป็นอย่างไร”
ถ้าไทยและประเทศใดคาดเดาอนาคตก็คงจะพอแกะจากคำพูดที่ทรัมป์ออกมาแถลงเพิ่มเติมว่า “ภาษีศุลกากร 10% เป็นขั้นต่ำต่อทุกประเทศนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง และหลายประเทศจะถูกกำหนดอัตราที่สูงกว่านั้นอย่างแน่นอน”
ขณะเดียวกันผู้บริโภคชาวอเมริกันเริ่มวิตกว่า สินค้าจะขาดตลาดและจะมีราคาแพงขึ้นคล้ายกับช่วงโควิด ระยะนี้เรือขนส่งทางมหาสมุทรลดปริมาณเทียบท่าทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของสหรัฐกว่า 35% และมีรายงานว่าเรือบางลำบรรทุกสินค้ามาเพียงแค่ประมาณ 50-60% เท่านั้น (ในปี 2024 ท่าเรือสหรัฐฯนำเข้าและส่งออก 20 ล้านตู้คอนเทนเนอร์)
สินค้าที่เดินทางมาจากเอเชียใช้เวลาประมาณ 30-45 วัน หากการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับจีนไม่มีผลบวกทันเวลาก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการค้าปลีกในอเมริกาอย่างเฉียบพลัน เมื่อสินค้าขาดแคลนจะนำมาสู่การลดพนักงานขายปลีกซึ่งเป็นอัตราส่วน 10% ของงานทั้งหมดในสหรัฐฯ และร้านค้าบางแห่งอาจจำเป็นต้องปิดกิจการลงและประกาศให้เช่าร้าน แม้กระทั่งอาจนำมาสู่การแจ้งล้มละลายและกลายเป็นปัญหาทวีคูณกระทบไปอีกหลายอุตสาหกรรม จึงมีการประเมินว่าโอกาสที่เศรษฐกิจของสหรัฐจะถดถอยภายในปีนี้นั้นอยู่ในระหว่างประมาณ 45-55%
เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางถูกตัดจำนวนลง 216,000 คน ส่วนภาคเอกชนลดจำนวนงานลงแล้วกว่า 70,000 ตำแหน่ง งานที่เกี่ยวข้องกับท่าเรือ รถบรรทุกขนส่ง การบริการด้านพลังงาน ประกันภัย และอาชีพอื่นๆที่เกี่ยวข้อง กำลังกลายเป็นปัญหาทางการเมืองเพิ่มกระแสต่อต้านนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ 2.0
เกษตรกรที่ผลิตสินค้าออกมาเป็นจำนวนมากและเคยหวังพึ่งพาการส่งออกไปตลาดจีนนั้น ขณะนี้มีวิกฤติแต่ไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือได้ทันเวลา และจะทำให้หลายครอบครัวต้องล้มละลาย ซึ่งส่วนมากแล้วเป็นผู้ที่อยู่อาศัยในเขตของรัฐที่สนับสนุนลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป
จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ และเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดสำหรับถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของสหรัฐฯ ไปยังจีน แต่จีนก็ลดการสั่งซื้อลง การส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ไปยังจีนลดลง 24%เมื่อปีที่แล้วเหลือ 29,100 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA)
สังเกตท่าทีของจีนที่ประกาศชนทุกด้านและจะสู้จนวาระสุดท้าย แต่ล่าสุดขยับในทางบวกโดยการยอมเจรจาเบื้องต้นที่สวิตเซอร์แลนด์ครั้งนี้ อาจมาจากความกดดันภายในจีนซึ่งมีปัญหาเศรษฐกิจและการเงินในระดับสุ่มเสี่ยงมากเช่นกัน เงินกำลังไหลออกนอกจีนเป็นจำนวนมาก และหลายประเทศเพิ่มกระแสปิดกั้นสินค้าจากจีนเพื่อคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศของตนเอง
สหรัฐอเมริกาและจีนตั้งแง่แสดงความเข้มแข็งและปลุกกระแสชาตินิยม แต่ในที่สุดด้านใดด้านหนึ่งก็จะทนต่อแรงเสียดสีภายในประเทศของตนไม่ได้ และจะนำมาสู่การประนีประนอม
ส่วนไทยซึ่งเตรียมการเจรจากับสหรัฐฯไว้แล้ว แต่ยังไม่มีการเจรจาเป็นทางการ และเปลี่ยนกำหนดการโดยอ้างเหตุต่างๆขัดแย้งกันในระดับผู้นำของรัฐบาล ขณะเดียวกันยังมีการเรียกร้องให้รวมกันเป็นเอกภาพภายในอาเซียนเพื่อใช้กำลังกลุ่มแทนที่จะไปเจรจาเดี่ยว
ความสำคัญของตลาดสหรัฐซึ่งการส่งออกของไทยพึ่งพาอาศัยมากเป็นอันดับหนึ่งนั้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผู้นำภาคเอกชนและสถาบันวิจัยต่างๆแสดงความเป็นห่วงที่จะทำให้จีดีพีร่วง และสะเทือนต่อแนวโน้มของเครดิตของประเทศ ซึ่งจะนำมาสู่ปัญหาหลายด้านพร้อมกันโดยเฉพาะต้นทุนในการกู้ยืมจากต่างประเทศ
การกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งหรืออุตสาหกรรมส่วนใดมากเกินไป เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำอย่างเร่งด่วน ซึ่งในภาวะการเมืองไทยเปราะบางช่วงนี้ อาจจำเป็นจะต้องพึ่งพาด้านเอกชนให้เป็นผู้นำหลักเพื่อเจรจาปัญหาระยะสั้นกับสหรัฐอเมริกาเรื่องภาษีศุลกากร และขณะเดียวกันเร่งเสนอมาตรการปกป้องการรุกของจีนเรื่องนโยบายเศรษฐกิจและการเมือง







